คอลัมน์ เดินไปในเงาฝัน: เศษข่าว-เศษเทปมีชีวิต

บางทีสิ่งที่เก็บไว้นานๆ เราไม่รู้หรอกว่าวันหนึ่งจะมีประโยชน์ ยิ่งเฉพาะงานที่เกี่ยวข้องกับสื่อสิ่งพิมพ์ด้วยแล้ว ทุกคนจะรู้ว่าในกองบรรณาธิการมีหนังสือพิมพ์ให้อ่านอย่างหลากหลาย

ทั้งยังมีนิตยสาร

วารสารวิชาการอีกจำนวนมาก

เพราะสิ่งที่ซ่อนอยู่ในสื่อสิ่งพิมพ์เหล่านั้น บางครั้งมีบทสัมภาษณ์ดีๆ บางครั้งมีสกู๊ปน่าสนใจหลายเรื่อง ยิ่งเมื่อก่อนด้วยแล้ว จะมีมากกว่าสมัยนี้เสียอีก

Advertisement

ถึงสิ้นปีนักข่าวตามโต๊ะต่างๆ จะนำสื่อสิ่งพิมพ์เหล่านี้มัดเชือกฟาง แล้วให้ทางแม่บ้านนำไปให้ฝ่ายจัดซื้อขายชั่งกิโลเป็นหนังสือเก่าไป

ผมเองในฐานะที่ชอบอ่านบทสัมภาษณ์ดีๆ และชอบอ่านมุมความคิดในการทำธุรกิจของผู้นำธุรกิจต่างๆ จึงเก็บหนังสือที่พิมพ์เรื่องราวเหล่านี้ไว้เยอะมาก

เริ่มแรกเก็บเป็นเล่ม

Advertisement

โดยเฉพาะนิตยสารการเงินการธนาคาร, ผู้จัดการรายเดือน, สารคดี, แพรว, ดิฉัน, ลิปส์ และอื่นๆ อีกมากมาย แต่ตอนหลังหนังสือเริ่มเยอะขึ้น จึงจับมาแยกเก็บเป็นชิ้นๆ และไม่เฉพาะแต่นักธุรกิจเท่านั้น

หากมีบทสัมภาษณ์ของผู้กำกับภาพยนตร์ไทย-เทศ, นักเขียน, นักแปล หรือจิตรกรชั้นครู ผมมักจะเก็บบทสัมภาษณ์เหล่านั้นเสมอ

เก็บโดยไม่รู้ว่าจะนำไปใช้ประโยชน์ได้หรือเปล่า

ผมเรียกสิ่งเหล่านี้ว่าเศษข่าว เพราะเป็นข่าวที่หลายคนไม่เอาแล้ว เป็นข่าวที่หลายคนอ่านแล้วทิ้ง หลายคนอ่านแล้วเก็บใส่กลับไม้แขวนหนังสือพิมพ์

แต่ผมเก็บกลับบ้าน

เช่นเดียวกับเศษเทปที่ผมติดสอยห้อยตามพี่ๆ นักข่าวไปสัมภาษณ์เจ้าสัวในวงการธุรกิจต่างๆ สมัยเริ่มต้นทำงานใหม่ๆ ตอนนั้นเราเป็นเด็ก จึงนั่งอยู่ไกลจากผู้ถูกสัมภาษณ์

ไม่มีความกดดัน

เพราะพี่นักข่าวเป็นผู้ถาม

เราจึงทำหน้าที่เป็นคนอัดเทป

จด

และฟังอย่างตั้งใจ

จนรู้ว่ากุญแจความสำเร็จของเจ้าสัวเหล่านั้น ไม่ได้อยู่ที่การบริหารจัดการ การวางกลยุทธ์ การใช้คนให้ถูกที่ถูกทางแต่เพียงอย่างเดียว

หากยังมีเรื่องต่างๆ ซ่อนอยู่มากมาย

โดยเฉพาะเรื่องความอดทน ขยัน ซื่อสัตย์

หรือบางคนไม่ได้อยากเป็นนักธุรกิจเลย แต่ต้องเข้ามาเพราะเป็นสมบัติของตระกูล ทั้งบางทียังต้องเรียนเรื่องการบริหารจัดการ แต่ในใจอยากเรียนศิลปะ

อยากเป็นนักดนตรี

หรือบางคนอยากสร้างอาณาจักรธุรกิจใหม่ของตัวเอง

แต่ไม่มีโอกาส

กระทั่งถึงวันที่เขาสามารถสร้างอาณาจักรธุรกิจจนประสบความสำเร็จเรียบร้อย เขาจึงหันไปสร้างธุรกิจที่ตัวเขาเองอยากทำมาตั้งแต่วัยเด็ก เสมือนเป็นการตอบสนองความอยากของตัวเอง

ที่สำคัญ ธุรกิจดังกล่าวรุ่งโรจน์รุ่งเรืองเสียด้วย

ซึ่งมีเจ้าสัวจำนวนไม่น้อยเลยที่เป็นอย่างนี้ เพราะเท่าที่ผมแอบมองบนโต๊ะทำงานของพวกเขาหรือจากหนังสือที่เขาอ่าน ของสะสมที่เขาวางไว้ กรอบรูปงานศิลปะบนฝาผนัง ล้วนต่างบอกว่ารสนิยมของเขาเป็นเช่นใด

เพราะฉะนั้น เมื่อสัมภาษณ์เสร็จ เขาจึงเล่าเรื่องไลฟ์สไตล์เบาๆ เหล่านี้ให้พวกเราฟัง หลายเรื่องน่าสนใจมากสำหรับผม หลายเรื่องเป็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในสำหรับเขา

แต่พี่ๆ นักข่าวเขาไม่สนใจ

เขาต้องการตัวเลขกำไร ขาดทุน แผนขยายการลงทุน โปรดักต์ใหม่ๆ หรือการนำธุรกิจของตัวเองเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

ที่เหลือจากอื่นๆ

จึงกลายเป็นเศษเทปที่ผมเก็บสะสมตลอดมา

โดยไม่รู้ว่าจะได้นำมาใช้ประโยชน์หรือเปล่า

ซึ่งเหมือนกับหนังสืองานศพ งานพระราชทานเพลิงศพของนักเขียน แรกเริ่มผมควักกระเป๋าลงทุนซื้อก่อนตามงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติและงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ

แพงสูงสุดเคยควักซื้อถึงเล่มละพันกว่าบาท

นอกนั้นก็มีห้าร้อยบ้าง แปดร้อยบ้าง แต่ถัวเฉลี่ยก็อยู่ราวๆ ห้าร้อยกว่าบาทขึ้นไป ซึ่งหนังสืองานศพ, งานพระราชทานเพลิงศพของนักเขียนที่ผมมี อาทิ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์, อบ ไชยวสุ, ยาขอบ, มนัส จรรยงค์, มาลัย ชูพินิจ และอื่นๆ อีกมากมาย

บุคคลเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นนักประพันธ์ชั้นครูในอดีตทั้งสิ้น

แต่ตอนหลังผมไม่ค่อยได้ซื้อแล้ว เพราะอาศัยไปงานศพและงานพระราชทานเพลิงศพจึงได้มา บางเล่มกลายเป็นหนังสือหายากไปแล้ว แถมยังมีราคาในตลาดหนังสือเก่าสูงเสียด้วย อาทิ ก.สุรางคนางค์, ‘รงค์ วงษ์สวรรค์, เสนีย์ เสาวพงศ์, วาณิช จรุงกิจอนันต์ และอื่นๆ

ผมไม่รู้ว่าราคาในปัจจุบันวิ่งไปเท่าไหร่แล้ว

แต่ที่แน่ๆ สิ่งที่เก็บไว้เหล่านั้น วันหนึ่งต้องมีโอกาสนำไปใช้ประโยชน์ในอนาคต รวมถึงเศษข่าวและเศษเทปที่ผมสะสมตลอดมาด้วย

ซึ่งก็เป็นจริงในเวลาต่อมา

เพราะหลังจากนั้นไม่นาน ผมเจอรุ่นพี่คนหนึ่งให้โอกาสเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับห้องสมุดเจ้าสัว ผมจึงนำสิ่งที่ผมสะสมมาตลอดทั้งชีวิตในขณะนั้นมาเล่าใหม่ให้ฟังว่า สิ่งที่ซ่อนอยู่ในความสำเร็จของเจ้าสัวคนนั้นมีหนังสือต่างๆ เหล่านี้เจือปนอยู่ด้วย

เช่นเดียวกัน รุ่นพี่คนเดิมให้โอกาสเขียนคอลัมน์ “เรื่องเล่าจากโครงกระดูก” ด้วยการนำเรื่องราวของเพื่อนนักเขียนที่เขียนถึงเพื่อนนักเขียนด้วยกันในหนังสืองานศพ งานพระราชทานเพลิงศพ

มาจัดแบ่งหมวดหมู่เสียใหม่

โดยต้องแยกให้ออกว่า ระหว่างที่เขามีชีวิตอยู่เขาสนิทกับใคร กิน ดื่ม เที่ยวกับใคร เพราะเขาจะเล่าเรื่องของเพื่อนนักเขียนอย่างมีมิติที่หลากหลาย

สนุกสนาน

โดยไม่ได้มีมุมสรรเสริญเยินยอเพียงอย่างเดียว

แต่หากมีมุมมีชีวิต

มุมครอบครัว

และมุมในการสร้างผลงานที่มีชื่อเสียงเจือปนอยู่ด้วย

ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ผมเรียนรู้จากเศษข่าว เศษเทป และการสะสมหนังสือมาตลอดทั้งชีวิต

จึงอยากนำมาเล่าให้ฟังครับ?

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image