เปิดข้อเสนอ”ปรองดอง” ฉบับ”นปช.”ส่งชุด”สปท.”

หมายเหตุ – ข้อเสนอแนะต่อการปรองดองของประเทศไทย ที่แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เสนอต่อคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษารวบรวมความเห็นวิเคราะห์ประเด็นการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและการสร้างความปรองดองทางการเมืองในคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ซึ่งมีนายสังศิต พิริยะรังสรรค์ เป็นประธานอนุกรรมาธิการ

1.ความสำคัญและเหตุผลในการทำการปรองดอง ถ้าไม่ทำการปรองดองจะเกิดอะไรขึ้น

1.1 การแตกแยกทางความคิด อุดมการณ์ แนวทางการเมือง จะลุกลามบานปลาย ไม่ใช่เพียงสังกัด ความคิดระหว่างระบอบประชาธิปไตยแบบสากลอารยประเทศแตกแยกเป็นปฏิปักษ์กับกลุ่มสังกัดความคิด ระบอบคณาธิปไตย อำมาตยาธิปไตย และสนับสนุนการทำรัฐประหารเท่านั้น แต่ความเป็นปฏิปักษ์ทาง ความคิดแนวทางการเมืองจะกลายเป็นการต่อสู้แบบอื่นๆ ที่จะรุนแรงขึ้น ที่ไม่ใช่การต่อสู้ด้วยหลักการเหตุผล การต่อสู้ทางการเมืองอาจกลายเป็นการต่อสู้ไม่ใช่หนทางสันติวิธี เป็นสงครามกลางเมืองก็ได้

1.2 ฝ่ายที่ได้รับชัยชนะโดยยึดครองอำนาจจากการทำการรัฐประหารและสร้างกติกาใหม่ เขียน รัฐธรรมนูญใหม่ และออกกฎหมายเพื่อใช้บังคับประชาชน รวมความคือการใช้อำนาจทางการทหารและ อำนาจทางเขียนกฎหมายใหม่ รัฐธรรมนูญใหม่ ไม่สามารถที่จะเดินหน้าประเทศไทยไปตามที่วางไว้ได้ เพราะฝ่ายที่ต้องการประชาธิปไตยที่อำนาจเป็นของประชาชน ไม่ใช่คณะบุคคลแต่เป็นคนส่วนใหญ่และ ดุลอำนาจจะสูงขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งฝ่ายยึดอำนาจจากประชาชนไม่ได้รับความร่วมมือจากโลกเสรี ประชาธิปไตย ส่งผลสะเทือนถึงก่อให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจ การเมืองระหว่างประเทศ กลายเป็นประเทศล้าหลังและล่มสลายทั้งเศรษฐกิจ การเมือง สังคม

Advertisement

2. เป้าหมายการปรองดอง

2.1 เพื่อให้ประเทศและประชาชนทุกส่วนอยู่ร่วมกันได้โดยปกติสุขแม้จะมีความเห็นต่างกันทางการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ และสังคม และสามารถร่วมมือพัฒนาประเทศไทยไปสู่ความสงบสุขและก้าวหน้าเป็นลำดับ

2.2 ให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายใช้หลักการเหตุผลและความเป็นธรรม ความยุติธรรมในการแก้ปัญหา แทนที่จะใช้กำลังความรุนแรง

Advertisement

2.3 ยึดระบอบการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนแท้จริง มิใช่เป็นของบุคคลหรือคณะบุคคลใดๆ ทั้งนี้ เป็นไปตามหลักการของอารยประเทศและอารยชน

3. กระบวนการปรองดอง ปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จมากที่สุดคือ

3.1 ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง เต็มใจที่เข้าสู่การปรองดองเพราะตระหนักถึงความเสียหาย ของประเทศชาติโดยรวมและของทุกฝ่าย รัฐจึงต้องสร้างบรรยากาศที่เหมาะสมให้ทุกฝ่ายยินดีเข้าสู่การ ปรองดองและสร้างบรรยากาศที่ส่งเสริมให้แสดงความคิดเห็นได้เต็มที่

3.2 ควรให้องค์กรที่น่าเชื่อถือทั้งในประเทศและระหว่างประเทศร่วมส่วนหรือสังเกตการณ์ในการตั้งคำถาม การตอบคำถามของฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมทั้งฝ่ายข้าราชการทหารและพลเรือนด้วย

3.3 นำเสนอความคิดเห็นที่รวบรวมได้เสนอต่อสาธารณะอย่างตรงไปตรงมา ปราศจากอคติ เพื่อพิสูจน์ความน่าเชื่อถือของผู้ทำการปรองดอง

3.4 ใช้เวทีสาธารณะและประชาชนทั่วไปในการรับฟังความคิดเห็นต่อการปรองดองและกลั่นกรองให้ได้ฉันทามติเพื่อนำไปสู่การปรองดอง

4.แสวงหารากเหง้าความขัดแย้งและทำความจริงให้ปรากฏ เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาให้ตรงจุดและเกิดผลสัมฤทธิ์ในการปรองดอง โดยหาสมุฏฐานโรคได้เพื่อนำไปสู่การเยียวยาที่ได้ผล รากเหง้าความขัดแย้งในทรรศนะของ นปช.

4.1 ความขัดแย้งทางความคิดและอุดมการณ์ทางการเมือง

4.1.1 การยึดเอาระบอบการเมืองการปกครองแบบไหน? ฝ่ายหนึ่งต้องการระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามแบบสากลที่อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน ขัดแย้งกับอีกฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย เพราะถือว่าให้เป็นประชาธิปไตยแบบไทยๆ ที่อำนาจอธิปไตยยังไม่สามารถเป็นของประชาชนได้สมบูรณ์ ยังต้องการให้คณะบุคคลที่เหมาะสมถืออำนาจเอาไว้ไปจนกว่าจะเห็นควร

4.1.2 การถือเอาบุคคลสำคัญยิ่งกว่าระบบและหลักการการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย คือ ถือบุคคล เช่น นายทักษิณ ชินวัตร

และคณะเป็นปฏิปักษ์ทางการเมืองที่จำเป็นต้องทำลาย ล้างโดยวิธีใดก็ได้ ไม่จำเป็นต้องใช้หลักการประชาธิปไตยและความยุติธรรมแบบนิติรัฐนิติธรรม (Rule of Law)

4.1.3 ชนชั้นนำและชนชั้นกลางจำนวนหนึ่งในสังคมไทยมีแนวความคิดอนุรักษนิยมและอำนาจนิยม (ซึ่งยอมรับการทำรัฐประหารและการจำกัดสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาคประชาชน) จึงขัดแย้งกับประชาชนที่ มีแนวคิดเสรีประชาธิปไตยซึ่งเป็นกระแสโลกมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา และไม่เห็นด้วยกับ การทำรัฐประหารและแก้ปัญหาการเมืองการปกครองที่ไม่ใช่กระบวนการตามระบอบประชาธิปไตย

4.2 ความขัดแย้งของกลุ่มคนอันเนื่องมาจากผลประโยชน์และอำนาจ

4.2.1 ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มชนชั้นนำเดิมและรัฐข้าราชการกับชนชั้นนำใหม่ที่ช่วงชิงอำนาจผ่านกลไกในระบอบประชาธิปไตยและลุกลามไปสู่ผู้สนับสนุนแต่ละฝ่ายดังที่เกิดขึ้นในทศวรรษนี้

4.2.2 ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มชนชั้นนำอนุรักษนิยมด้วยกันเอง อาทิ ระหว่างผู้นำทหารกับชนชั้น นำพลเรือนและพรรคการเมืองอนุรักษนิยม ดังเช่นกรณี 14 ตุลาคม 2516

4.2.3 ความขัดแย้งระหว่างผู้ปกครองคณาธิปไตยที่ได้มาจากการทำรัฐประหารขัดแย้งกับผู้ถูกปกครองที่ต้องการระบอบประชาธิปไตย ดังที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

4.2.4 ความขัดแย้งระหว่างผู้ปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่ได้มาจากการเลือกตั้งขัดแย้งกับผู้ถูก ปกครองที่สนับสนุนฝ่ายอนุรักษนิยมที่พ่ายแพ้ทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ดังที่เกิดขึ้นในรัฐบาลไทยรักไทย, พลังประชาชน, เพื่อไทย

ดังนั้น ทุกกลุ่มล้วนเป็นคู่ขัดแย้งในสังคมทั้งสิ้น เพราะสถานการณ์ได้ลุกลามจากชนชั้นนำไปสู่ประชาชนที่สนับสนุนแต่ละฝ่าย รวมทั้งกองทัพและข้าราชการพลเรือนระดับบนทั้งหมด ล้วนเลือกวิถีทางที่ลบล้างอำนาจประชาชนในระบอบประชาธิปไตย จึงสนับสนุนระบอบคณาธิปไตยและอำมาตยาธิปไตยที่รัฐข้าราชการเป็นใหญ่กว่าประชาชน คู่ขัดแย้งหลักในปัจจุบันจึงเป็นความขัดแย้งระหว่างผู้ปกครองในระบอบคณาธิปไตยคือคณะรัฐประหารเจ้าของอำนาจ

รัฏฐาธิปัตย์ ผู้สนับสนุน อันได้แก่ชนชั้นนำเดิมและรัฐข้าราชการรวมทั้งพรรคอนุรักษนิยม ขัดแย้งกับผู้ถูกปกครองที่ต้องการระบอบประชาธิปไตยอันเป็นทั้งเป้าหมายทางการเมืองการปกครองและกระบวนการทางการเมืองการปกครอง ความขัดแย้งรองเป็นความขัดแย้งระหว่างชนชั้นนำด้วยกันทั้งในฝ่ายอนุรักษนิยมเองและกับฝ่ายพรรคการเมืองจากการเลือกตั้งที่เป็นปฏิปักษ์กับพรรคอนุรักษนิยม

5.ข้อแนะนำในการทำความจริงให้ปรากฏต้องเริ่ม

5.1 หยุด HATE SPEECH การพูดจากล่าวหาลอยๆ ที่เป็นการใส่ความเท็จ การใส่ร้ายป้ายสียุยงให้เกลียดชัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากข้าราชการ, สื่อ, พรรคการเมือง และกลุ่มองค์กรประชาชน

5.2 นำเสนอหลักฐานที่เป็นผลการพิจารณาของศาลล่าสุดและการสืบสวนสอบสวนที่มีมาตรฐานมาเผยแพร่โดยคณะกรรมการที่น่าเชื่อถือในหมู่ประชาชน

5.3 การสารภาพความจริงของผู้กระทำต่อ

ผู้เห็นต่าง การสารภาพผิดจะนำไปสู่การปรองดองที่ดีที่สุด

6. ปัญหาความยุติธรรม

6.1 การใช้ความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ Restorative Justice

6.2 การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมจากต้นน้ำถึงปลายน้ำ ให้ได้รับการยอมรับจากประชาชนทุกฝ่าย ด้วยหลักนิติรัฐ-นิติธรรม Rule of Law อย่างเข้มงวด

6.3 รื้อฟื้นและเยียวยาผู้ถูกดำเนินคดีโดยไม่เป็นธรรม

6.4 ยกเลิกการใช้กระบวนการยุติธรรมเพื่อจัดการกับกลุ่มบางกลุ่มที่เห็นต่างกับกลุ่มอนุรักษนิยมและรัฐข้าราชการ

นี่เป็นข้อเสนอและข้อสังเกตเบื้องต้นเพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนการปรองดองที่มุ่งให้เกิดผลจริงยิ่งกว่าพิธีกรรม

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image