เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชานุญาตให้ราชสกุล องคมนตรี คณะรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม องค์กรอิสระ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน ร่วมเป็นเจ้าภาพในการบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและถวายเป็นพระราชกุศล เป็นวันที่ 60 อาทิ คณะศิษย์เก่าสตรีวิทยา รุ่นปี 2520, ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร รุ่นที่ 21, นักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูงการบริหารงานภาครัฐและกฏหมายมหาชน รุ่น 14, สมาคมนักเรียนเก่าภาคพื้นยุโรป, โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ศูนย์ธารัสซีเมีย โรงพยาบาลศิริราช, โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ, โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา สภากาชาดไทย, กลุ่มงานทันตกรรม โรงพยาบาลสงฆ์, โรงพยาบาลชลบุรี สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดชลบุรี กรมสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข, เครือโรงพยาบาลพญาไทและเครือโรงพยาบาลเปาโล, โรงพยาบาลพญาไทศรีราชา, โรงพยาบาลมะเร็งชลบุรี, คณะจิตอาสาและเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลแก่งกอย จังหวัดสระบุรี, โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ, โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล, สถาบันโรคหัวใจ โรงพยาบาลราชวิถี, พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ นักกีฬา, นักธุรกิจหอการค้าไทย-จีน, สภาวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-อาเซียน, สมาคมภริยาทหารเรือ, สมาคมช่างเหมาไฟฟ้าและเครื่องกลไทย, สมาคมพยาบาลจิตเวชแห่งประเทศไทย
ทั้งนี้ สำนักพระราชวังสรุปยอดรวมประชาชนที่เดินทางมาสักการะพระบรมศพ เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ หลังสำนักพระราชวังปิดเวลา 21.15 น. ว่า มีจำนวนทั้งสิ้น 35,030 คน รวม 94 วัน มี 4,063,404 คน และมีประชาชนถวายเงินเพื่อร่วมบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นเงิน 3,131,511.75 บาท รวม 94 วัน เป็นเงินทั้งสิ้น 342,815,309.09 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการสักการะพระบรมศพ เบื้องหน้าพระบรมโกศ บนที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งดำเนินมาเป็นวันที่ 95 แม้วันนี้เป็นหยุด ทว่าประชาชนจากทั่วประเทศมาต่อแถวสักการะอย่างไม่ขาดสาย ท่ามกลางภาพอากาศร้อนตลอดทั้งวัน ทั้งนี้ สำนักพระราชวังเปิดประตูวิเศษไชยศรีให้ประชาชนเข้าตั้งแต่เวลา 04.45 น. จากเปิดปกติเวลา 08.00 น.
น.ส.สุวรรณา บุญกอง อายุ 23 ปี จาก อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี เดินทางมาพร้อมน้องชายและน้องสาวอีก 4 คน ได้แก่ ด.ญ.ศันสนีย์ ตาบู้ อายุ 13 ปี ด.ญ.ชนาพร บุญกอง อายุ 11 ขวบ ด.ช.พรชัย บุญกอง อายุ 11 ขวบ และ ด.ญ.ธันชนก ตาบู้ อายุ 9 ขวบ
น.ส.สุวรรณากล่าวว่า ตนและน้องๆ เป็นคนไทยเชื้อชาติกะเหรี่ยง ซึ่งปกติตนได้ทำงานเป็นพนักงานทั่วไปอยู่ กทม. และเคยเข้าสักการะพระบรมศพมาแล้วหนึ่งครั้ง แล้วนำไปบอกต่อครอบครัว ทำให้น้องๆ ที่อาศัยอยู่ที่บ้านอยากเดินทางมาด้วย ตนจึงได้นั่งรถตู้กลับบ้านไปรับน้องและพาน้องๆ ทุกคนเดินทางมายังท้องสนามหลวงเมื่อเวลา 05.00 น. และได้เข้าสักการะพระบรมศพเบื้องหน้าพระบรมโกศโดยใช้เวลาเพียงไม่นาน
“ตื้นตันใจมาก เพราะที่บ้านของตนและคนในหมู่บ้านมีอาชีพได้จากการประกอบอาชีพตามโครงการของในหลวงรัชกาลที่ 9 และครั้งหนึ่งครอบครัวก็ได้รับหมู 2 ตัว เป็นตัวผู้และตัวเมีย ซึ่งพันธุ์สัตว์พระราชทาน ที่จำหน่ายให้แก่เกษตรกรทั่วไปเพื่อให้เลี้ยงและขยายพันธุ์สัตว์ดังกล่าว ทางครอบครัวของตนสามารถขยายพันธุ์สัตว์ได้ จนครอบครัวได้มาดูงานโครงการพระราชดำริในกรุงเทพฯ ซึ่งตนและครอบครัวรู้สึกปลาบปลื้มใจในพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นอย่างมากที่พระองค์ไม่ลืมประชาชน แม้ครอบครัวจะเป็นกะเหรี่ยง ทั้งนี้ สิ่งที่อยากบอกคนไทยคือ อยากให้คนไทยยอมรับชาวกะเหรี่ยง เพราะภายหลังที่ได้เข้ามาทำงานที่กรุงเทพฯ ส่วนใหญ่มักจะมองข้าม ซึ่งตนก็ไม่ได้สนใจและยึดคำสอนในการดำรงชีวิตตามในหลวงรัชกาลที่ 9 เสมอ คือการเป็นคนดี” น.ส.สุวรรณากล่าว
ด.ญ.ชนาพรกล่าวว่า อยากมาเห็นพระบรมมหาราชวัง อยากมากราบในหลวงรัชกาลที่ 9 ปกติเห็นแต่ในจอทีวี พวกหนูแม้เป็นชาวกะเหรี่ยงแต่ก็ภูมิใจมากที่ได้เกิดมาในแผ่นดิน ในหลวงรัชกาลที่ 9
นางสุดา เชื้อรอด อายุ 61 ปี เดินทางมาพร้อมกับเพื่อนบ้านในละแวกใกล้เคียง ได้แก่ นางประคอง เฉลิมฉัตร อายุ 71 ปี และนางจิ๋ว มั่นหมาย อายุ 64 ปี จากบ้านพักใน อ.อ้อมน้อย จ.สมุทรสาคร บอกว่า เดินทางมาเป็นครั้งที่ 2 หลังจากตื้นตันตอนมาสักการะครั้งแรก อีกทั้งคิดว่าตนเดินทางมาสะดวก ครั้งนี้จึงพาเพื่อนบ้านมาสักการะในหลวงรัชกาลที่ 9 ด้วยกัน โดยออกเดินทางจากบ้านตั้งแต่ 04.00 น. มาถึงท้องสนามหลวงประมาณ 06.00 น. และใช้เวลารอเพียงไม่นานก็ได้ขึ้นไปสักการะแล้ว
“เคยรับเสด็จพระองค์เมื่อปี พ.ศ.2513 ครั้งนั้นพระองค์เสด็จฯ มาเยี่ยมราษฎร ที่จ.กาญจนบุรี พระองค์เสด็จฯ มากับสมเด็จย่า แต่ตอนนั้นยังเด็กมากจำอะไรไม่ค่อยได้ แต่จำได้ว่าเป็นครั้งเดียวที่มีโอกาสได้รับเสด็จ และได้เห็นพระองค์ใกล้มาก ทำให้รู้สึกประทับใจพระองค์มาตลอดที่ทรงช่วยเหลือประชาชนในทุกๆ เรื่อง และส่วนตัวยังได้น้อมนำแนวพระราชดำริเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้กับตัวเอง คือมีน้อยใช้น้อย ไม่สุรุ่ยสุร่าย พร้อมทั้งส่งต่อคำสอนเหล่านี้ไปถึงลูกหลานด้วย” นางสุดากล่าว
นางประคองกล่าวอีกว่า ตนเพิ่งเดินทางมากราบสักการะพระบรมศพเป็นครั้งแรก ที่จริงอยากมานานแล้วแต่ไม่สะดวกในการเดินทาง พอดีวันนี้เพื่อนบ้านที่เคยมาแล้วชวนมาด้วยกันจึงเพิ่งมีโอกาสมากราบพระบรมศพ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ตอนได้ขึ้นไปกราบพระบรมศพเบื้องหน้าพระบรมโกศรู้สึกตื้นตันมาก พร้อมตั้งจิตอธิษฐานส่งเสด็จด้วยความจงรักภักดี
นางสมพงศ์ สิงห์พันนา อายุ 53 ปี เดินทางมากราบสักการะพระบรมศพเป็นครั้งแรกพร้อมกับลูกชาย นายอริยะ อายุ 33 ปี และหลานสาว ด.ญ.อรัญญา อายุ 10 ขวบ จากบ้านพักย่านบางบอน โดยกล่าวว่า ตื้นตันใจมากที่วันนี้ลูกชายพามาสักการะในหลวงรัชกาลที่ 9 แม้ไม่เคยรับเสด็จฯ พระองค์ แต่ปู่ ย่า ตา ยาย ก็สอนให้รู้จักและรักพระองค์ เมื่อเติบโตมาก็เห็นพระองค์ทรงงานและดูแลประชาชนคนไทยตลอด ความรู้สึกที่ได้ขึ้นไปสักการะ ตนอธิษฐานให้พระองค์เสด็จสู่สวรรคาลัย ส่วนตนจะขอทำความดีเพื่อพ่อหลวงตลอดไป
ขณะที่ครอบครัว “กลุ่มเหรียญทอง” ประกอบด้วย นายกัลย์กวี นางธนัญรัตน์ นายณัฐวรวุฒิ นางสาวณัชวรธันย์ และนายนันทวัฒน์ โดยนายกัลย์กวี หัวหน้าครอบครัว กล่าวว่า วันนี้พาครอบครัวมาสักการะพระบรมศพพร้อมหน้าครอบครัวเป็นครั้งแรก โดยมาจาก อ.หนองสองห้อง จ.ขอนแก่น มาถึงบริเวณสนามหลวงเวลา 06.00 น.และใช้เวลาเข้าแถวรอไม่นานก็ได้ขึ้นไปสักการะพระบรมศพ
“ตลอดเวลาที่พระองค์ทรงครองราชย์ พระองค์ทรงงานเพื่อประชาชนโดยตลอดทั้งเรื่องดิน น้ำ เศรษฐกิจพอเพียง อย่างที่ขอนแก่นพระองค์ทรงเห็นว่ามีชาวบ้านยากจนจำนวนมาก จึงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงดูแลและส่งเสริมด้านอาชีพ ทั้งทำขนม ทอผ้าไหม เป็นต้น ทำให้ประชาชนมีอาชีพ ส่งผลให้ความเป็นอยู่ดีขึ้นด้วย” หัวหน้าครอบครัวกลุ่มเหรียญทองกล่าว
