09.00 INDEX “ยุทธการ” บุกตรวจค้น “ธรรมกาย” “ไฟท์บังคับ” ของ”คสช.” รัฐบาล

ไม่ว่าจะมองจากด้านของ “รัฐบาล” ไม่ว่าจะมองจากด้านของ “วัด” ล้วนไม่มีทางเลือก

เพราะว่าทุกอย่างได้เดินไปถึงจุด “อับ”

การที่ “รัฐบาล” จำเป็นต้องอาศัยอำนาจจากมาตรา 44 มาเป็นอาวุธมาเป็น “เครื่องมือ”

ต้องยอมรับว่า “น่าเห็นใจ”

Advertisement

เพราะ “ดีเอสไอ” และ “ตำรวจ” เคยนำ “หมายค้น” พยายามจะเข้าไปเพื่อบรรลุ “หมายจับ” แล้ว 2 หน

แต่ไม่สำเร็จ กลายเป็น “ล้มเหลว”

ไม่ว่าจะเป็นปฏิบัติการเมื่อเดือนมิถุนายน 2559 ไม่ว่าจะเป็นปฏิบัติการเมื่อเดือนธันวาคม 2559

Advertisement

จึง “จำเป็น” ต้องใช้ “ไม้แข็ง”

ขณะเดียวกัน หากมองไปยังด้านของ “วัดพระธรรมกาย” ก็อยู่ในจุดที่ไม่เหลือทางไปเหมือนกัน

ไม่ใช่หวังจะ “สู้” แต่น่าจะไปในทาง “ยอม” มากกว่า

กล่าวสำหรับ “วัดพระธรรมกาย” เพียงประสบเข้ากับ 300 คดีความก็หนักหนาสาหัสอย่างยิ่ง

ถามว่า “ความชอบธรรม” ยังมีอยู่หรือไม่

หากดูจากกระบวนท่าที่ “ดีเอสไอ” และ “ตำรวจ” นำมาใช้โดยผ่านกระบวนการ “มาตรา 44”

สะท้อนว่า “ยาก” ถึงขั้น “ยากส์”

นี่คือความต่อเนื่องจากยุคของ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มกัน มายังยุคของ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ

เพียงแต่ตอนนี้ต้องอิงอยู่กับ “ทหาร”

ขณะเดียวกัน กำลังพลของ “ตำรวจ” ก็มิได้มีแต่จากกองบัญชาการตำรวจภูธร ภาค 1 หากแต่ยังมีมาจากกองบัญชาการ ตำรวจภูธร ภาค 7

และกำลัง “ควบคุมฝูงชน” จาก กองบัญชาการตำรวจนครบาลอีกด้วย

นั่นก็เพราะ “มาตรา 44” เป็นสำคัญ

หากย้อนกลับไปฟังคำกล่าวของ นายไพบูลย์ นิติตะวัน ตั้งแต่ก่อนปฏิบัติการเมื่อเดือนธันวาคม 2559

ก็จะ “เข้าใจ”

และ “ตระหนัก” ในความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการในแบบ “วันเผด็จศึก”

ความล้มเหลวเมื่อเดือนธันวาคม 2559 มีแรงสะเทือน

สะท้อนให้เห็นว่า อำนาจของ “กลไกรัฐ” ไม่สามารถทำอะไรกับ “วัดพระธรรมกาย”ได้

หากยังเป็นไปเช่นนี้ย่อม “เสียหาย”

และความเสียหายมิได้จำกัดอยู่แต่กับ “ดีเอสไอ” หรือ”ตำรวจ” เท่านั้น

ตรงกันข้ามจะกระแทกไปยัง “รัฐบาล”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image