เมื่อวันที่ 12 มีนาคม สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชานุญาตให้ราชสกุล องคมนตรี คณะรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม องค์กรอิสระ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน ร่วมเป็นเจ้าภาพในการบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและถวายเป็นพระราชกุศล เป็นวันที่ 96 อาทิ เทศบาลเมืองกระทุ่มแบน เทศบาลเมืองอ้อมน้อย เทศบาลเมืองบางกรวย สำนักงานเทศบาลเมืองปากช่อง เทศบาลเมืองกระทู้ เทศบาลนครภูเก็ต เทศบาลตำบลสามชุก องค์การบริหารส่วนตำบลตลาดใหม่ องค์การบริหารส่วนตำบลกระตีบ องค์การบริหารส่วนตำบลดอนกระเบื้อง คลินิกทันตกรรมธัญรักษ์ฟัน คณะนักศึกษาหลักสูตร กลุ่มศิษย์เก่าคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รุ่นที่ 35 สมาคมศิษย์เก่าอัสสัมชัญศรีราชา รุ่น 5134 กลุ่มบริษัท โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท จำกัด บริษัท มาสด้า พาวเวอร์เทรน แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย)
ทั้งนี้ สำนักพระราชวังสรุปยอดรวมประชาชน ที่เดินทางมาสักการะพระบรมศพ เมื่อวันที่ 11 มีนาคม หลังปิดเวลา 21.10 น. ว่ามีจำนวนทั้งสิ้น 32,110 คน รวม 129 วัน มี 5,151,717 คน และมีประชาชนถวายเงินเพื่อร่วมบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นเงิน 2,276,874.75 บาท รวม 129 วัน เป็นเงินทั้งสิ้น 433,384,599.09 บาท
เวลา 10.00 น. นางสาวสมใจ สุวรรณศุภพนา นายกเทศมนตรีนครภูเก็ต เป็นประธานพิธีบำเพ็ญกุศล และถวายภัตตาหารเพล แด่พระสงฆ์ โดยมีพระสงฆ์ 10 รูป จากวัดสัมมาธัญญาวาส วัดบำเพ็ญเหนือ วัดยานนาวา วัดบางแวก วัดราชวรินทร์ กรุงเทพฯ และวัดไทยพุทธาราม ออสเตรเลีย สวดพระพุทธมนต์ ในการนี้ พระสงฆ์ที่สวดพระพุทธมนต์ รับถวายภัตตาหารเพล สดัปกรณ์บำเพ็ญกุศลอุทิศถวายพระบรมศพ
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการสักการะพระบรมศพ เบื้องหน้าพระบรมโกศ บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งดำเนินมาเป็นวันที่ 130 ตลอดทั้งวันพบว่าพสกนิกรทุกหมู่เหล่าจากทั่วสารทิศของประเทศไทย เดินทางมารอต่อแถวเข้าถวายสักการะพระบรมศพอย่างไม่ขาดสาย ท่ามกลางสภาพอากาศร้อนจัดตลอดทั้งวัน
นางสาวสมใจ สุวรรณศุภพนา นายกเทศมนตรีนครภูเก็ต กล่าวถึงความรู้สึกภายหลังได้นำคณะสมาชิกผู้บริหาร ฝ่ายข้าราชการประจำจากเทศบาลนครภูเก็ตร่วมเป็นเจ้าภาพสวดอภิธรรมพระบรมศพว่า การที่เทศบาลนครภูเก็ตได้เดินทางมาร่วมสวดพระอภิธรรมพระบรมศพวันนี้ ถือเป็นตัวแทนจากประชาชนในจังหวัดภูเก็ตที่ได้แสดงถึงความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณและคุณความดีของในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งพระองค์ทรงเป็นต้นแบบของคนไทย ในการทำความดีโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน ตลอดระยะเวลาที่ทรงงาน 70 ปี ทั้งนี้ พระองค์ได้ใช้บริบทของพื้นที่เป็นหลักในการทรงงาน คือ การลงพื้นที่ถิ่นทุรกันดารด้วยพระองค์เอง ซึ่งในความเป็นจริงพระองค์ไม่ต้องปฏิบัติเช่นนั้นก็ได้ แต่พระองค์ทรงเลือกที่จะทำ เพราะเห็นว่าประชาชนคือคนของพระองค์
“สิ่งที่ชาวภูเก็ตทุกคนทรงจดจำได้เสมอและบอกต่อกันมาจนมายังรุ่นลูกรุ่นหลาน รวมถึงตนที่จำได้ว่า ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จประพาสจังหวัดภูเก็ตถึง 4 ครั้ง และครั้งหนึ่งตนจำได้ว่าสมัยที่ตนยังเด็ก เมื่อปี 2502 ในครั้งนั้น พระองค์พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯเยี่ยมราษฎรและทอดพระเนตรกิจการต่างๆ แม้แต่หมู่บ้านชาวเลที่บ้านราไวย์ ชาวบ้านตัวเล็กตัวน้อยทรงเล็งเห็นถึงความสำคัญ ซึ่งเมื่อก่อนภูเก็ตไม่ได้เจริญเหมือนทุกวันนี้ ไม่ได้มีเส้นทางเชื่อมต่อไปยังจังหวัดใกล้เคียง แม้แต่จังหวัดพังงาก็ต้องเดินทางด้วยเรือเฟอร์รี่เท่านั้น การเดินทางลำบากมากจริงๆ แต่พระองค์ทรงมีความห่วงใยต่อประชาชน ซึ่งก็เข้าใจได้ว่าพระองค์ทรงอยากเดินทางมาสัมผัสด้วยตนเองดีกว่าให้ผู้อื่นนำความขึ้นกราบบังคมทูล ท้ายสุดคือ ชาวภูเก็ตทุกคนก็รักพระองค์มากไม่แพ้คนไทยทุกคน และอยากให้คนไทยรักและสามัคคีกัน ตลอดจนนำพระราชดำรัสมาปรับใช้ในแต่ละครอบครัว ซึ่งหากหลายครอบครัวทำได้ก็จะนำไปสู่การพัฒนาพื้นที่ท้องถิ่น สู่การพัฒนาประเทศในที่สุด” นายกเทศมนตรีนครภูเก็ตกล่าว
น.ส.กัญญณัฐ แก้วกิติ อายุ 20 ปี นักศึกษาปีที่ 2 คณะแพทยศาสตร์ สาขากายอุปกรณ์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ชักชวนน้องสาวหลังจากปิดเทอม น.ส.กุลปริยา แก้วกิติ อายุ 18 ปี ชั้น ม.6 โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย จ.ลำปาง มาถวายสักการะพระบรมศพเป็นครั้งแรก โดยพี่สาวคนโตกล่าวด้วยความปลื้มปีติว่า นับเป็นครั้งที่ 2 หลังจากเคยพามารดามาครั้งแรก อาศัยว่าช่วงนี้น้องปิดเทอมจึงอยากพาน้องมาบ้าง ตลอดการครองราชย์ 70 ปี ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงสละความสุขส่วนพระองค์เพื่อสังคมโดยรวม ในฐานะที่ตัวเองจะเป็นแพทย์ในอนาคต จะยึดมั่นตามรอยเบื้องพระยุคลบาท ทำงานเพื่อคนไข้อย่างเต็มความสามารถ ไม่รักษาแต่เพียงกายแต่ต้องดูแลในเรื่องของจิตใจด้วย
ด้าน น.ส.กุลปริยาเผยความรู้สึกว่า เพิ่งสอบติดพยาบาลที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีความตั้งใจจะน้อมนำคำสอนด้านความพอเพียงและการเสียสละตนเพื่อสังคม มาปฏิบัติหน้าที่ต่อไปในอนาคต สำหรับโครงการพระราชดำริของพระองค์ที่ประทับใจคือ โครงการกังหันน้ำชัยพัฒนา พระองค์ทรงเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่น่าทึ่ง สามารถคิดค้นวิธีการบำบัดน้ำเสียด้วยวิธีการเรียบง่ายได้ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งในพระอัจฉริยภาพเท่านั้น
