⦁…เวลาธุรกิจเดินทางมาถึงครึ่งเดือนสุดท้ายของ “ไตรมาสแรกปี 60” แม้ว่า “คนของรัฐบาล” จะตอกย้ำในแนวโน้มที่ดีขึ้น พร้อมรูปธรรมหลายอย่างที่ส่อไปทางนั้น “ส่งออกจะเติบโต-การท่องเที่ยวจะเฟื่องฟู การลงทุนภาคเอกชนจะเพิ่มขึ้น” ทว่าที่สุดแล้ว “ในแวดวงธุรกิจต่างยังพูดเป็นเสียงเดียวกัน” คือ “เก็บเงินสด” นั่นหมายถึงยังไม่มีความหวังจาก “กำลังซื้อในตลาด” ที่กล้าลงทุน มีเพียง “รับสัมปทานจากภาครัฐ” เสียงเร่งให้อนุมัติโครงการจึงดังขรม
⦁…ยังไม่ทันเข้าสู่ “ไตรมาส 2” เต็มตัว สถานการณ์ “ภัยแล้ง” เริ่มกระหน่ำหนัก จนเตรียมแจ้งเขต “ภัยพิบัติ” กันเป็นแถว ผสมกับ “สภาพอากาศร้อนมหาโหด” เชื่อว่าคงทำให้ “ทีมเศรษฐกิจ” ต้องสบตากันอีกครั้งว่าจะหาวิธีอธิบายอย่างไรว่า “การจับจ่ายใช้สอยจะดีขึ้น” เพราะเอาเข้าจริงคนที่ร่ำรวยมากตอนนี้เป็น “พ่อค้าแอร์” วันหยุดคนเข้าห้างสรรพสินค้ากันล้นหลาม เพื่อไปรับ “ความเย็น” ร้านรวงปกติ ร่วงกันทั่วหน้า
⦁…สั่ง “สนช.” เพิ่มวันประชุมจาก “สัปดาห์ละ 2 วัน พฤหัสฯ-ศุกร์” เป็น “3 วัน” เพิ่มวัน “พุธ” เข้ามา เหตุผลที่บอกกล่าวคือ “มีกฎหมายที่ต้องเร่งพิจารณาเพื่อสนองรับการปฏิรูปในหลายๆ เรื่อง” ขณะที่บางกลุ่มบางฝ่ายอธิบายกันในแวดวงว่า “ต้องเร่งก่อนรัฐธรรมนูญประกาศใช้” เพราะหลังจากนั้น “การโหวตผ่านกฎหมายต้องให้ประชาชนรับรู้” จะมาเร่งระบายเหมือนที่ทำกันอยู่ไม่ได้แล้ว
⦁…กระทั่ง “การใช้กฎหมายจัดการกับแท็กซี่” ยังถูกตั้งคำถามถึง “สองมาตรฐาน” อันเป็น “บาดแผล” ในศรัทธาต่อ “ผู้รักษากฎหมาย” ซึ่งเป็นเหตุสำคัญของ “ความแตกแยกในชาติ” เมื่อวางแผนจับ “อูเบอร์” บริการรถสาธารณะยุค 4.0 ที่ทั่วโลกนิยม เพราะรับประกัน “คุณภาพบริการ” ด้วย “ทะเบียนประวัติ” ด้วยข้อหา “บริการโดยไม่ได้รับอนุญาต” ขณะที่ “แท็กซี่ทั่วไป” ที่ “ปฏิเสธผู้โดยสารจนเป็นสันดาน” ไม่มีใครไป “ล่อซื้อจับกุม” เสียงก่นบริภาษตำรวจไทยจึงกลายเป็นกระแสประหลาดที่ตำรวจยุคนี้ “คือใช้อำนาจแก้ปัญหา” มากกว่า “รับฟังเสียงประชาชน” คนที่วิพากษ์วิจารณ์จึงเสี่ยงต่อการถูกจับกุมดำเนินคดี
⦁…ถ้อยคำทำนอง “ไทยแลนด์ 4.0” สร้างด้วย “รัฐบาล 44” ไม่ได้ เริ่มกลายเป็น “คำคม” ที่กระตุ้นความรู้สึกนึกคิดของ “ผู้คนในวงกว้างขึ้น” ท่ามกลางความเหนื่อยล้าของ “คนบางกลุ่มบางพวก” ที่แม้จะรู้ว่าควรจะเดินไปสู่เป้าหมายใดอย่างไร ทว่ากลับเดินไม่ได้ไปไม่ถึง เพราะ “ความเป็นจริง” ที่มากมายด้วยอุปสรรค ซึ่งการสะสางไม่ใช่แค่นึกแล้วบรรลุได้ ด้วยแม้จะใช้อำนาจอย่างระมัดระวังเพียงใด แต่ผลที่ตามมามักนอกเหนือความคาดฝันเสมอ กรอบกติกาที่วางมานานตาม “สากลนิยม” อ่อนไหวเสมอต่อการจัดการเปลี่ยนแปลง “ตามอำเภอใจ”
⦁…ที่น่าติดตามอย่างยิ่งคือ “การเรียกภาษีคืน 12,000 ล้าน จากการขายหุ้นชินคอร์ป” ของ “ครอบครัวชินวัตร” ซึ่งเรตติ้งความสนใจพุ่งกระฉูด ไม่ใช่เรื่อง “ต่อต้าน” หรือ “เห็นดีเห็นงาม” แต่เป็นความระทึกใจกับลีลาการ “ตีความกฎหมาย” ของ “เหล่าปรมาจารย์” ที่ “พลิกช่องว่าง หาช่องโหว่” หักเหลี่ยมกันเข้มข้น ชนิด “ไม่เคยพบเคยเห็น” เป็นโอกาสที่ “นักศึกษากฎหมาย” จะเรียนลึกถึง “สัจธรรมแห่งนิติบัญญัติ” บรรลุใน “นิยามแห่งยุติธรรมที่แท้”
⦁…ที่เข้าถึง “สัจธรรมของโลกการเมือง” ไปเรียบร้อย ล่าสุดเห็นจะเป็น อนุสร จิรพงศ์ ผู้ที่ไม่เป็นที่รู้จักมากนักก่อนหน้านั้น แต่ “บุญวาสนา” ส่งให้เจริญใน “บทบาทหน้าที่ในศูนย์อำนาจและผลประโยชน์” มาตลอด หลังจากคุมอารมณ์จากการถูกเรียกด้วยคำว่า “ป๋า” ซึ่งเป็นสรรพนามที่ “พนักงานเสิร์ฟ” ใช้เรียก “ผู้ใหญ่ใจดี” จนเกิดคดีขึ้นมา หลังจากนั้น “ชีวประวัติ” ของ “นักการเมืองสายรอรับการแต่งตั้ง” ก็ประเดประดังท่วม “หน้าสื่อออนไลน์”
ชโลทร