ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยกาศการเข้าสักการะพระบรมศพ เบื้องหน้าพระบรมโกศ ในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง เป็นวันที่ 144 ว่า ประชาชนจากทั่วทั้งประเทศยังคงแต่งกายด้วยชุดสีดำ สุภาพ มาเข้าคิวสักการะพระบรมศพ ท่ามกลางอากาศที่ร้อนจัด โดยสำนักพระราชวังเปิดให้ประชาชนเข้าสักการะในเวลา 05.50 น.
นางจุทาพร โลกถวิล อายุ 52 ปี เดินทางมาโดยรถตู้พร้อมกับญาติๆ รวม 10 คนจาก จ.นครศรีธรรมราช กล่าวว่า เพิ่งมีโอกาสมากราบพระบรมศพเป็นครั้งแรก รู้สึกดีใจและปลาบปลื้มใจมากจนพูดไม่ออก แม้ว่าที่ผ่านมาจะไม่เคยมีโอกาสรับเสด็จพระองค์มาก่อน แต่ก็เห็นพระองค์ทรงงานมากมายเพื่อประชาชนมาตลอด ทุกวันนี้ก็พยายามนำคำสอนของพระองค์ไปใช้เสมอโดยเฉพาะเรื่องความพอเพียง ทั้งในเรื่องความเป็นอยู่และการใช้จ่ายอย่างประหยัด ทั้งยังส่งต่อคำสอนดีๆ เหล่านี้ไปยังรุ่นลูกและหลานให้นำไปใช้ด้วย
ด้านนายศักดิ์ ใจกาวิล อายุ 45 ปี เดินทางมาจากบ้านพักในจ.ปทุมธานี เผยว่า มาครั้งนี้เป็นครั้งที่ 12 แล้วแต่ความรู้สึกที่มายังเหมือนเดิมตลอด ทุกครั้งจะอธิษฐานว่าขอให้พระองค์เสด็จฯสู่สวรรคาลัย ไม่ต้องทรงเหนื่อยเพื่อคนไทยอีกต่อไป และตั้งใจว่าจะมาอีกเรื่อยๆ หากมีโอกาส ส่วนตัวเองก็จะขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป และจะขอน้อมนำคำสอนของพระองค์ท่านไปใช้โดยเน้นในเรื่องของความประหยัดเป็นหลักสำคัญ ทั้งยังตั้งใจจะช่วยเหลือทุกคนเท่าที่จะสามารถช่วยได้
นายพงษ์พันธ์ วิงแก้วหิรัญ อายุ 58 ปี เดินทางจากย่านอ้อมใหญ่มากราบสักการะพระบรมศพเป็นครั้งที่ 4 กับเพื่อนตั้งแต่เวลา 08.00 น. กล่าวว่า เมื่อสมัยอายุประมาณ 5-6 ปี เคยมีโอกาสเฝ้าฯรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เมื่อครั้งเสด็จฯ ทางเรือมายังตลาดน้ำดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี จำได้ว่าพ่อแม่พาไปเฝ้าฯรับเสด็จด้วยกัน แต่เนื่องจากยังเด็กมากไม่ค่อยรู้เรื่องราวเท่าใด เมื่อเติบโตมาพอรู้ว่าพระองค์คือพระผู้มีพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ของปวงชนชาวไทย ก็ได้พยายามติดตามข่าวสารพระราชกรณียกิจและเรื่องราวต่าง ๆ ของในหลวง ร.9 ตลอด รู้สึกปลาบปลื้มทุกโครงการที่พระองค์ทรงทำเพื่อประชาชน รวมถึงลูก ๆ หลาน ๆ สามารถนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ส่วนตัวเองพยายามใช้ชีวิตตามรอยเบื้องพระยุคลบาทด้วยการประหยัด ใช้สิ่งของทุกอย่างให้คุ้มค่า รวมถึงช่วยเหลือคนอื่นทุกครั้งที่มีโอกาส