The Museum of Innocence… รอยทรงจำอันหวานหอมและขมปร่า

The Museum of Innocence คือผลงานของ ออร์ฮาน ปามุก (Orhan Pamuk) ที่ทำให้แฟนคลับอย่างเราช็อกมาก เพราะไม่คิดมาก่อนเลยว่าปามุกจะสามารถเขียน “นวนิยายรัก” ที่สร้างความสั่นไหวระดับเกิน 8 ริกเตอร์ในหัวใจได้ขนาดนี้

สั่นสะเทือนในระดับที่ทำให้อ่านนวนิยายหนา 618 หน้าจนจบได้ภายในคืนเดียว จากการผูกเรื่องของปามุกในระดับวางไม่ลง โดยไม่มีการข้ามแม้แต่คำหนึ่งคำใดไปเลย

ที่ผ่านมาในการรับรู้ทั่วไป ผลงานที่เป็นเสมือนภาพจำของนักเขียนรางวัลโนเบลชาวตุรกีผู้นี้ มักจะเชื่อมโยงและวิพากษ์วิจารณ์ความคิด ความเชื่อ และวิถีทางสังคม การเมือง ศาสนา ความขัดแย้งในตุรกีอยู่เสมอ เพราะแม้ว่าโดยพื้นเพของปามุกจะเติบโตในครอบครัวชาวออตโตมันที่มั่งคั่ง เป็นชาวตุรกีชนชั้นกลางระดับสูงซึ่งมีโอกาสทางสังคมมากกว่าชาวเคิร์ดหรือชาวอาร์เมเนียน แต่เขากลับเห็นถึงความทุกข์ยากของชาวเคิร์ดและชาวอาร์เมเนียนที่ถูกกดขี่ข่มเหงในสถานะของชนกลุ่มน้อยตลอดเวลา เขาถ่ายทอดมุมมองเหล่านั้นออกมาในงานเขียนหลายเรื่อง รวมถึงนวนิยายเล่มดังที่ได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษอย่าง “My Name is Red, The Other Colors” รวมถึง “Snow (หิมะ)” ซึ่งว่าด้วยการปะทะกันระหว่างความเชื่อของเป็นรัฐฆราวาสและการยึดถือกฎหมายอิสลามในแบบรัฐอิสลามซึ่งเป็นปัญหาทางการเมืองภายในของตุรกี ที่ “สนพ.บทจร” เพิ่งจะพิมพ์ออกมาหมาดๆ ด้วย

วิถีคิดและการทำงานแบบนี้ แม้ว่าจะทำให้ปามุกมีปัญหากับรัฐบาลตุรกีอย่างสม่ำเสมอ และถูกต่อต้านจากกลุ่มอนุรักษนิยมในตุรกีที่มองว่าสิ่งที่ปามุกทำคือการทำลายวิถีชีวิตตามจารีตประเพณีที่สืบต่อกันมา และการขุดคุ้ยเรื่องราวในอดีตเกี่ยวกับฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวเคิร์ดและชาวอาร์เมเนียนของปามุกนั้น ก็เป็นรอยแผลที่หลายคนไม่อยากให้เปิดปากแผล แต่ในปี 2006 ซึ่งปามุกได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมนั้น นิตยสารไทม์ก็ได้จัดให้เขาเป็นหนึ่งในร้อย “บุคคลผู้ขับเคลื่อนโลก”

Advertisement

และเพราะภาพจำที่มีในลักษณะดังกล่าว เมื่อได้อ่าน The Museum of Innocence ที่ทุกบรรทัดช่างละเมียดละไม เต็มไปด้วยความอ่อนหวาน อ่อนโยน ปวดร้าว และเศร้าสร้อย จึงเหนือความคาดหมายของเราไปไกลลิบลิ่ว

The Museum of Innocence ว่าด้วยเรื่องราวความรักของ “เคมาลเบย์” ชายหนุ่มผู้ร่ำรวยชาวตุรกี ที่ตกหลุมรักญาติห่างๆ ซึ่งมีอายุน้อยกว่าราว 12 ปี อย่าง “ฟูซุน” และนั่นไม่ใช่เป็นเพียงความลุ่มหลงในความงดงาม ความอ่อนเยาว์ ความสดใสที่เข้ามาจับหัวใจของเคมาลเบย์เท่านั้น แต่คือ “รักแท้” ความรักที่เขาเองก็ไม่เคยคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นกับหญิงสาวผู้ยากจนคนนี้ ท่ามกลางความหวานหอมของหัวใจรัก ความขมปร่าได้เร้นอยู่ในความสัมพันธ์ และไม่ได้ทำร้ายเพียงแค่กับเคมาลเบย์และฟูซุนเท่านั้น แต่ยังรวมถึง “สิเบล” คู่หมั้นคู่หมายของเคมาลเบย์อีกด้วย

อ่านถึงบรรทัดนี้ อย่าเพิ่งคิดว่าเป็นแค่เรื่องเล่ารักสามเส้าทั่วไป เพราะระหว่างการจับมือหลวมๆ กับสิเบล มืออีกข้างของเคมาลเบย์หลังจากที่รู้ว่าฟูซุนได้ตัดสินใจจากไปอย่างเงียบๆ แล้วหลังการมาร่วมเป็นแขกในงานหมั้นของทั้งคู่นั้น ก็ค่อยๆ เพาะเมล็ดพันธุ์ของการสะสมข้าวของส่วนตัวของฟูซุนขึ้นในอุ้งมือนั้น เป็นเมล็ดพันธุ์ที่ปลูกขึ้นด้วยน้ำตาและแรงสะอื้นของความรวดร้าวและสับสนในหัวใจผู้ชายคนหนึ่ง

Advertisement

“…กลิ่นของฟูซุนในห้อง เงาที่ทอดตรงมุมห้อง ผังพื้นที่ในบ้านที่ฟูซุนเคยอยู่มาทั้งชีวิต ห้องเหล่านี้ซึ่งทำให้หล่อนเป็นอย่างที่เป็น ผนังและสีที่ลอกหลุด ผมจดจำรายละเอียดทุกอย่างเหล่านี้ไว้อย่างรักใคร่ในความทรงจำ ผมฉีกกระดาษปิดผนังนี้ส่วนหนึ่งเพื่อเอาติดตัวมา ผมงัดลูกบิดประตูห้องเล็กๆ ที่ผมคิดว่าเป็นห้องหล่อนมาใส่กระเป๋าไว้ ผมจินตนาการว่ามือหล่อนเคยจับลูกบิดนี้มาตลอดสิบแปดปี มือจับกระเบื้องของสายชักโครกในห้องน้ำนั้นหลุดออกมาง่ายยิ่งกว่า

ผมเก็บแขนตุ๊กตาเด็กที่เคยเป็นของฟูซุนจากกองกระดาษและขยะที่ทิ้งไว้ตรงมุมห้องแล้วใส่ในกระเป๋ากางเกง พร้อมทั้งลูกแก้วขนาดใหญ่และกิ๊บติดผมสองสามอันที่ผมมั่นใจว่าเป็นของหล่อน เมื่อนึกว่าตัวเองจะสบายใจเวลาได้อยู่กับสิ่งของพวกนี้ตามลำพังผมก็สบายใจขึ้น…”

แม้ว่าวันหนึ่งความลับในความรักนั้นไม่ได้เป็นความลับอีกต่อไป แม้ว่าวันหนึ่งทั้งคู่จะได้กลับมาพบกันอีกครั้งด้วยความพยายามอย่างไม่ทดท้อของเคมาลเบย์ แม้ว่าวันหนึ่งทุกสิ่งที่เหมือนจะลงเอยด้วยดีจะพลิกผันอย่างกระชากใจคนอ่านให้ต้องน้ำตาริน แต่ทุกความรู้สึกของความรักยังคงปรากฏและส่งผ่านข้าวของส่วนตัวของฟูซุนที่เคมาลเบย์สะสมไว้ในอพาร์ตเมนต์เมร์ฮาเม็ตซึ่งเป็นรังรักลับๆ ระหว่างทั้งคู่

ต่างหู กระเป๋าถือ ที่เขี่ยบุหรี่ ชุดเดรสลายดอก ก้นบุหรี่ที่สูบแล้ว 4,231 อัน ชุดว่ายน้ำ เข็มกลัด เมนูอาหาร รูปถ่าย เปลือกหอยทาก แผนที่ กลักไม้ขีด ถ้วยกาแฟ … แทบทุกสิ่งที่ฟูซุนสัมผัส คือสิ่งที่อยู่ใน “พิพิธภัณฑ์” ที่เคมาลเบย์สร้างขึ้น และข้าวของสามัญพวกนี้ก็ยืนยันได้อย่างชัดเจนว่าทุกความรู้สึกของทั้งคู่ ไม่ได้เป็นเพียงความไร้เดียงสาของความรักที่ควรจะจบสิ้นลงเมื่อต้องอยู่ในโลกของความจริง

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจุดเด่นของนวนิยายเรื่องนี้ซึ่งมีลักษณะของเรื่องเล่าซ้อนเรื่องเล่าที่ผู้เขียนเอาตัวเองเข้าไปไว้ในเรื่องแห่งจินตนาการราวกับตั้งใจจะหยอกล้อถึงความจริงความลวงในวรรณกรรมนั้น จะเป็นเรื่องราวของความรักที่ครบทุกรสชาติ และกระทบใจได้อย่างรุนแรงจากกลวิธีการเล่าเรื่องของปามุกที่มีเสน่ห์มากๆ ยามหวานก็หวานจนอมยิ้มตาม ฉากรักก็แทบจะสัมผัสได้ถึงเหงื่อที่ชื้นอยู่บนแผ่นหลัง ยามเศร้าก็ทำให้ปวดใจจนน้ำตาคลอ เป็นความงดงามของการพรรณนาที่แทบไม่เชื่อเลยว่าปามุกจะสามารถเขียนถึงทุกความรู้สึกในรักได้ราวกับกำลังเอามือมาเขย่าหัวใจขนาดนี้นั้น สิ่งหนึ่งที่ปามุกไม่เคยทิ้ง แม้เรื่องนี้จะเป็นเรื่องรักก็ตามคือ “การวิพากษ์สังคมตุรกี” และการวิพากษ์ของปามุกในครั้งนี้นั้น แม้จะไม่ได้ปรากฏมากนักในเรื่องเล่าของนวนิยาย ที่มองเผินๆ จะเห็นเพียงฉากหลังของความขัดแย้ง แต่ปามุกได้นำความจริงของตุรกีช่วงในปี 1970 ไปสร้างชีวิตของตัวละครเอกขึ้นมา ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้โศกนาฏกรรมแห่งรักต้องเกิดขึ้น โดยเฉพาะตัวละครผู้หญิงที่อยู่ในชนชั้นล่างอย่าง “ฟูซุน”

ช่วงทศวรรษ 1970 สังคมตุรกีนอกจากจะมีการเมืองที่ไม่ค่อยมีเสถียรภาพ โดยมีการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีถึง 11 ครั้ง เศรษฐกิจก็ย่ำแย่ มีการเผชิญหน้ากันระหว่างกลุ่มการเมืองฝ่ายซ้ายและขวาหลายครั้ง รวมถึงมีการลอบสังหารและมีการสูญเสียทางการเมืองอยู่เสมอ ก่อนที่จะมีการรัฐประหารโดยทหารเกิดขึ้นในปี 1980 แล้วนั้น อีกความขัดแย้งที่สำคัญก็คือการเลือกที่จะให้คุณค่าแบบตะวันออกหรือตะวันตก ซึ่งการให้คุณค่าดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นบนพื้นฐานของความขัดแย้งระหว่างการเป็นรัฐสมัยใหม่และรัฐจารีต

สถานะของเพศหญิงในสังคมที่มีค่านิยมแบบสับสนและอิหลักอิเหลื่อ ไม่รู้ว่าควรจะรักษาจารีตประเพณีดั้งเดิมหรือปรับตัวให้เข้ากับความเป็นสมัยใหม่อย่างไรดีนั้น เป็นยิ่งกว่าความไร้เดียงสา ชะตาชีวิตของพวกเธอไม่ได้ถูกกำหนดด้วยตัวเอง แต่ถูกกำหนดด้วยค่านิยมที่สับสนของสังคมในขณะนั้น ราวกับชีวิตที่เกิดและมีขึ้นมาไม่ได้เป็นของพวกเธออย่างแท้จริง ในยุคที่พรหมจรรย์สำคัญกว่าหัวใจ ทำให้จุดไคลแมกซ์ของเรื่องไม่ได้เป็นเพียงความรู้สึกที่สั่นสะเทือนเท่านั้น แต่ยังสะเทือนถึงเรื่องราวของผู้หญิงตุรกีส่วนใหญ่ในยุคนั้นที่ไร้ชีวิตของตนเองอย่างแท้จริงเหมือนที่เกิดขึ้นกับฟูซุน

The Museum of Innocence จึงเป็นเรื่องราวของรอยทรงจำอันหวานหอมและขมปร่าที่สะเทือนหัวใจ มากกว่าเรื่องรักธรรมดา

เป็นนวนิยายที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image