ทีเอ็มบีหั่นเป้าจีดีพีเหลือ 3.3% ปรับลดสินเชื่อโต 5.7% เผยธนาคารพาณิชย์ไทยเข้าสู่สงครามระดมเงินฝาก

นริศ สถาผลเดชา ผอ.อาวุโส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี

นายนริศ สถาผลเดชา ผู้อำนวยการอาวุโส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี เปิดเผยว่า ได้ปรับลดการคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2560 ลงเหลือ 3.3% จากเดิมคาดว่าจะทำได้ 3.5% เนื่องจากการบริโภคภาครัฐไม่ได้ดีไปตามคาด โดยคาดว่าจะโตเพียง 1.9% จากเดิมคาดว่าโต 5% หลังจากรัฐเน้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเป็นหลัก นอกจากนี้ การลงทุนภาคเอกชนยังคงกระจุกตัวอยู่ที่ภาคการก่อสร้างแต่การซื้อเครื่องจักรใหม่ยังไม่กลับมา เพราะผู้ประกอบการยังมีกำลังการผลิตเหลือ อีกทั้งตลาดยังไม่มีความต้องการสินค้ามากนัก คาดว่าจะโตเพียง 1.7% จากเดิมคาดว่าโต 2.2% แต่การส่งออกดีกว่าคาดเดิม โดยประเมินว่าทั้งปีจะเป็นบวก 2% จากเดิมคาดว่าโต 1.8% เป็นไปตามสถานการณ์ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2560 แต่อาจมีปัจจัยบวกที่ไม่คาดคิดเข้ามาคือการบริโภคภาคเอกชนที่คาดว่าจะโตได้มากกว่า 3% หลังสิ้นสุดโครงการรถคันแรกและราคาสินค้าเกษตรที่ดีขึ้น หากดีขึ้นจริงอาจปรับจีดีพีขึ้นไปอยู่ที่ 3.5%

ทั้งนี้ ได้ปรับลดอัตราการเติบโตของสินเชื่อในปีนี้เหลือ 5.7% จากเดิมคาดว่าโต 6.3% เป็นไปตามการปรับลดจีดีพีของทั้งปี โดยสินเชื่อที่จะโตได้ดีคือสินเชื่อสำหรับธุรกิจขนาดใหญ่นำโดยธุรกิก่อสร้างตามการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ ขณะที่สินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก (เอ็สเอ็มอี) ยังคงเติบโตไม่มากนักจากเงื่อนไขการปล่อยกู้ของธนาคารพาณิชย์ ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) นั้น คาดว่าเอ็นพีแอลในกลุ่มเอสเอ็มอีจะถึงจุดสูงสุดกลางปีนี้ และจะเริ่มปรับตัวลดลงเนื่องจากมีฐานที่สูงมากแล้ว

สำหรับการระดมเงินฝากนั้น ในขณะนี้เรียกได้ว่าเข้าสู่สงครามระดมเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ เริ่มเห็นแต่ละธนาคารออกมาตรการระดมเงินฝากเพื่อเตรียมปล่อยสินเชื่อ หลังผู้ประกอบการเริ่มเห็นสัญญาณอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นหันมาใช้สินเชื่อจากธนาคารจากปีก่อนหน้าใช้เงินทุนจากการออกหุ้นกู้และตั๋วแลกเงินระยะสั้น (บี/อี) ส่วนค่าเงินบาทคาดว่าจะมีทิศทางอ่อนค่าปิดสิ้นปีได้ถึง 36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ตามการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่อาจขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าคาดได้ ซึ่งการแข็งค่าของเงินบาทในช่วงนี้เป็นแค่สถานการณ์ชั่วคราวเท่านั้น ส่วนอัตราดอกเบี้ยของไทยคาดว่าในปี 2560 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะคงดอกเบี้ยไว้ที่ 1.5% เนื่องจากแรงกดดันเรื่องเงินเฟ้อยังต่ำและการลงทุนภาคเอกชนยังเปราะบาง

นายนริศกล่าวอีกว่า ปัจจัยที่ต้องจับตามองหลังจากนี้นั้นต้องระวังในช่วงกลางปีสินทรัพย์ต่างๆ ทั่วโลกอาจปรับลดลงจากความคาดหวังที่มากเกินไปจากนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิปดีสหรัฐ ทั้งนี้ ส่วนตัวมองว่าหลังจากนี้ภาครัฐต้องเข้าใจความต้องการของภาคเอกชนโดยแยกตามขนาดของธุรกิจ เพราะธุรกิจขนาดใหญ่และเอสเอ็มอีมีความต้องการต่างกัน และในธุรกิจเอสเอ็มอีเมื่อแบ่งตามรายภาคแล้วพบว่าเอสเอ็มอีที่อยู่ติดชายแดนมีความแข็งแรงทางธุรกิจและการเงินมากที่สุด หากมองความต้องการจากส่วนภูมิภาคกลับมาที่ส่วนกลางจะตรงความต้องการมากกว่า อีกทั้งภาครัฐต้องตั้งเป้าหมายของนโยบายและดูความต้องการรายจังหวัด

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image