ที่มา | คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12 มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | สถานีคิดเลขที่ 12 |
เผยแพร่ |
ผลพวงจากคดี นายชัยภูมิ ป่าแส นักกิจกรรมชาวลาหู่ นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิคนชาติพันธุ์ ซึ่งข้อเท็จจริงทั้งทางด้านยาเสพติด และการจับตายที่กระทำอย่างเหมาะสมจำเป็นหรือเกินกว่าเหตุหรือไม่ ยังอยู่ระหว่างการโต้แย้งจากหลายฝ่าย
ต้องรอการคลี่คลาย ด้วยพยานหลักฐานที่แท้จริงเชื่อถือได้
ทั้งไม่ควรมีใครใช้ท่าทีวางอำนาจ ยั่วยุท้าทาย อันมีแต่จะทำให้เรื่องลุกลามบานปลาย
อีกด้านหนึ่ง ผลจากเหตุการณ์นี้ นำมาสู่การเสนอให้เร่งจัดทำ “ไวต์ลิสต์” หรือบัญชีขาว
เพื่อการปกป้องชีวิตของนักเคลื่อนไหวทางสังคม นักเคลื่อนไหวภาคประชาชน นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนและสิทธิกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ
เพราะที่ผ่านมานักเคลื่อนไหวเหล่านี้ ยกเว้นที่เป็นเครือข่ายเอ็นจีโอสายนกหวีดหรือม็อบมีเส้นแล้ว
นอกนั้นมักถูกคุกคามทำร้าย ถูกมาตรการทางกฎหมายมาสกัดกั้น ไปจนถึงเข่นฆ่า หรือโดนอุ้มหาย
จนมาถึงกรณีนักกิจกรรมชาวลาหู่ล่าสุด ซึ่งแม้ข้อเท็จจริงยังไม่มีข้อยุติ แต่ก็เป็นกรณีกระตุ้นเตือนว่า การทำไวต์ลิสต์หรือบัญชีขาว ต้องจำเป็นเร่งด่วนแล้ว
ความจริงเรื่องนี้ เริ่มต้นพูดถึงและพยายามจัดทำกันมาก่อนหน้านี้
โดยมีการจัดประชุมอย่างเป็นเรื่องเป็นราว มีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม เป็นเจ้าภาพ ร่วมกับองค์กรเอกชนด้านสิทธิมนุษยชน เครือข่ายชาติพันธุ์ สภาทนายความ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ รวมทั้งหน่วยงานด้านกฎหมายของฝ่ายรัฐ ทั้งจากตำรวจและจากกรมพระธรรมนูญทหาร
จัดประชุมเพื่อกำหนดแนวทางการจัดทำบัญชีรายชื่อนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนที่เสี่ยงต่อการถูกละเมิด หรือบัญชีขาว
ตอนนี้จึงเริ่มมีการทวงถามความคืบหน้า
แนวคิดนี้ก็เพื่อให้ภาครัฐ ร่วมปกป้องนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน หลังจากที่มีเหตุการณ์ถูกข่มขู่คุกคาม ถูกฟ้องร้องจับกุม ไปจนถึงถูกฆ่า และสาบสูญ
โดยหากมีการจัดทำบัญชีรายชื่ออยู่ในความรับผิดชอบของกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ก็จะต้องมีมาตรการให้เจ้าหน้าที่รัฐต้องช่วยคุ้มครองดูแล โดยเฉพาะเมื่อมีการลงภาคสนามเพื่อทำกิจกรรม หรือมีการเคลื่อนไหวที่สุ่มเสี่ยงอันตราย
เพื่อไม่ควรให้ตกเป็นเหยื่อจากการกระทำของกลุ่มอิทธิพลผู้เสียประโยชน์ หรือเจ้าหน้าที่รัฐที่หวาดระแวงต่อคนคิดต่าง
การจัดทำบัญชีรายชื่อดังกล่าว อาจจะส่งผลเสียหรือมีจุดอ่อนในบางแง่มุม รวมทั้งจะเป็นจริงได้หรือไม่ ก็ยังไม่แน่ชัด
แต่การร้องหาไวต์ลิสต์หรือบัญชีขาว ย่อมมีผลในทางสัญลักษณ์ เพราะเป็นสิ่งตรงข้ามกับแบล๊กลิสต์หรือบัญชีดำ
ที่ผ่านมาสังคมบ้านเรา หรือเจ้าหน้าที่รัฐ มักคุ้นเคยกับบัญชีดำ ถนัดกันแต่เรื่องแบล๊กลิสต์
แต่มักจะละเลยการคุ้มครองปกป้องนักเคลื่อนไหวฝ่ายประชาชนที่มักกระทบกระทั่งกับเจ้าหน้าที่รัฐ
รัฐที่ดีงาม ไม่ควรโน้มเอียงแต่ในเรื่องปราบปราม ในมือชอบถือบัญชีดำเพื่อจัดการเพื่อลบชื่อ
แต่ต้องปกป้องคุ้มครองประชาชนด้วย โดยเฉพาะฝ่ายที่คิดต่างหรือเคลื่อนไหวเพื่อประโยชน์ของสังคมแต่ไปขัดกับแนวของรัฐ
เอาเข้าจริงๆ เมื่อเอ่ยชื่อไวต์ลิสต์หรือบัญชีขาว ก็แทบไม่มีใครเคยได้ยิน ไม่คุ้นหู หรือไม่เคยคิดว่าควรจะต้องมี
ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญยิ่งต่อชีวิตประชาชนที่ทุ่มเททำเพื่อส่วนรวม