ศาลปกครองคุ้มครองบ.เบสท์ริน สั่งขสมก.รับมอบรถเมล์เอ็นจีวี390คัน จนกว่าจะพิพากษา

เมื่อวันที่31มีนาคม ที่ศาลปกครองกลาง ถนนแจ้งวัฒนะ นายสุชาติ ศรีวรกร ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองกลาง เจ้าของสำนวน และองค์คณะ มีคำสั่งบรรเทาทุกข์ชั่วคราว ให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ(ขสมก.) ผู้ถูกฟ้อง ดำเนินการตรวจรับรถโดยสารปรับอากาศ NGV ของ บริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด ผู้ประกอบกิจการนำเข้ารถยนต์โดยสาร ที่ได้ออกจากอารักขาของกรมศุลกากรแล้ว โดยให้ตรวจรับรถไว้เป็นการชั่วคราวก่อนจนกว่าที่ศาลจะมีคำพิพากษาคดีที่ บ.เบสท์รินฯ ยื่นฟ้อง ขสมก. หรือศาลมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น และภายหลังเมื่อตรวจรับรถตามสัญญาข้ออื่นๆ แล้ว ให้ ขสมก. ผู้ถูกฟ้อง ปฏิบัติตามสัญญาต่อไป

คดีนี้ บ.เบสท์รินฯ เป็นผู้ชนะประกวดราคาโครงการจัดซื้อรถโดยสารปรับอากาศใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติหรือรถเมล์ NGV พร้อมซ่อมแซมและบำรุงรักษารถโดยสาร จำนวน 489 คัน ของ ขสมก. ยื่นฟ้อง ขสมก. กรณีไม่ตรวจรับรถโดยสารยี่ห้อซันลอง ที่ บ.เบสท์รินฯ สั่งจาก บริษัท ซุปเปอร์ซาร่า จำกัด ที่ผลิตในประเทศจีนและประกอบที่ประเทศมาเลเซีย 390 คัน หลังทำสัญญาวันที่ 30 กันยายน 2559 ที่ให้ส่งมอบรถภายใน 90 วัน ครบกำหนดวันที่ 29 ธันวาคม 2559 โดยมีผู้กล่าวหาว่ารถที่นำเข้ามานั้นไม่ได้ประกอบที่ประเทศมาเลเซีย กรมศุลกากรจึงไม่ยอมปล่อยรถจากอารักขาเพื่อส่งมอบให้ ขสมก. กระทั่ง บ.เบสท์รินฯ นำเงินร้อยละ40 ของราคานำเข้าไปประกันภาษี กรมศุลกากรจึงปล่อยรถ กระทั่งวันที่ 30 ธันวาคม2559 ถึงวันที่ 24 มกราคม 2560 บ.เบสท์รินฯ จึงส่งมอบรถ390คันให้ ขสมก.และติด GPS แล้ว แต่เมื่อถึงเวลา ขสมก.กลับไม่ตรวจรับ อ้างว่า สำนักงานอัยการสูงสุด มีหนังสือแจ้งให้รอกรมศุลกากรตรวจสอบถิ่นกำเนิดของรถก่อน โดยบริษัทต้องเสียค่าใช้จ่าย ในการดูแลรักษารถเดือนละ 780,000 บาท จึงนำคดีมาฟ้อง ขอให้ศาลปกครองกลาง สั่ง ขสมก.ให้ตรวจรับรถและชำระเงินตามสัญญา รวมทั้งจ่ายค่าเสียหายนับจากวันที่ 24 มกราคม2560 จนถึงวันฟ้องอีกจำนวน1,560,000บาทด้วย และวันที่ 20 มีนาคมที่ผ่านมา บ.เบสท์รินฯ ได้ขอให้ศาลกำหนดวิธีการบรรเทาทุกข์ชั่วคราวด้วย

ศาลปกครองกลาง พิจารณาแล้วเห็นว่า การที่กรมศุลกากร ตรวจสอบรถนั้นเพื่อการชำระภาษีนำเข้ารถมาในราชอาณาจักร ประเด็นนั้นไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติตามสัญญาของบ.เบสท์รินฯ กับ ขสมก. ดังนั้นเมื่อศุลกากรให้รถนั้นพ้นจากอารักขาแล้ว สันนิษฐานได้ว่า รถผ่านขั้นตอนตามพิธีการศุลกากรและกฎหมายที่เกี่ยวข้องศุลกากรแล้ว ส่วนที่ประเด็นรถนั้นประกอบในประเทศมาเลเซีย หรือประเทศจีนนั้น ชั้นไต่สวนยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริง เป็นเรื่องที่ศาลจะต้องวินิจฉัยในเนื้อหาคดีต่อไป แต่ในการไต่สวนพบว่า ขสมก.ไม่ได้ชี้แจงว่า รถนั้นมีคุณสมบัติ หรือคุณลักษณะไม่ตรงตามที่ระบุในสัญญา หรือไม่ตรงข้อกำหนดที่เป็นสาระสำคัญ

ดังนั้น การจะให้ ขสมก.ตรวจรับรถไว้ก็ไม่ถือเป็นอุปสรรคการบริหารราชการแผ่นดิน แต่กลับเป็นประโยชน์กับประชาชนมากกว่า จึงมีเหตุสมควรที่ศาลจะกำหนดวิธีการบรรเทาทุกข์ชั่วคราวตามคำร้องขอของ บ.เบสท์รินฯ

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image