ผู้เขียน | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
---|
ศาลหลักเมือง ไม่เคยพบหลักฐานว่ามีในยุคอยุธยา แล้วไม่มีซากว่าตั้งอยู่ตรงไหน? ของเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา จึงไม่น่าเชื่อว่าเคยมีคติศาลหลักเมืองเหมือนปัจจุบัน
พบแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนยุคนั้นยกย่องเป็น “หลัก” และ “ศรี” ของกรุงศรีอยุธยา มีบอกเป็นลายลักษณ์อักษรในคำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม (เอกสารจากหอหลวง)
“หลัก” ของกรุงศรีอยุธยา มีพระมหาธาตุ, พระมหาเจดีย์, พระมหาพุทธปฏิมากร เช่นพระมหาธาตุ วัดมหาธาตุ, พระมหาเจดีย์ วัดขุนเมืองใจ, พระศรีสรรเพชญ์ วัดพระศรีสรรเพชญ์ ฯลฯ
“ศรี” ของกรุงศรีอยุธยา อยู่ท้องถิ่น เช่น พระพุทธไสยาสน์ วัดป่าโมก อ่างทอง, พระประธม พระประโทน นครปฐม ฯลฯ
คติความเชื่อเกี่ยวกับศาลหลักเมืองตามที่เข้าใจทุกวันนี้ น่าจะมีเมื่อยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ แต่หลักบ้านหลักเมืองเป็นความเชื่อมีแล้วในชุมชนดึกดำบรรพ์ซึ่งต่างจากศาลหลักเมืองทุกวันนี้
ศาลพระกาฬ และหอกลอง
บริเวณสี่แยกตะแลงแกง ย่านกลางเมือง เคยเป็นที่ตั้งศาลพระกาฬและหอกลอง มีบอกในเอกสารจากหอหลวง ยุคอยุธยา
ศาลพระกาฬ ประดิษฐานพระนารายณ์ (เหมือนศาลพระกาฬ ที่เมืองละโว้ จ. ลพบุรี) เคยขุดพบกรพระวิษณุ (พระนารายณ์) และซากเทวสถาน (ที่น่าจะเป็นศาลพระกาฬตามที่บอกไว้ในเอกสารจากหอหลวง) โดยอาจารย์และนักศึกษาคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร เมื่อ พ.ศ. 2512-2513 มีรายละเอียดมากพิมพ์ในวารสาร โบราณคดี ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 (ตุลาคม-พฤศจิกายน-ธันวาคม) พ.ศ. 2512
[เทวสถานกลางเมืองยุคอยุธยาที่ตะแลงแกงแห่งนี้ บางทีจะเป็นต้นแบบเทวสถานโบสถ์พราหมณ์ เสาชิงช้า หน้าวัดสุทัศน์ กรุงเทพฯ แล้วมี “ตลาดเสาชิงช้า หน้าโบสถ์พราหมณ์” อยู่ในกลอนบทละครเรื่องระเด่นลันได สมัย ร.3]
ตลาดศาลพระกาฬ อยู่ถนนย่านหน้าศาลพระกาฬ มีร้านชำ ขายหัวไนกับโครงไนปั่นฝ้าย (คำว่า ไน แปลว่า เครื่องมือปั่นฝ้าย)
หอกลอง อยู่ตะแลงแกง (ใกล้ศาลพระกาฬ) มียอดซุ้ม ทาสีแดง เป็นหอสูง 3 ชั้น แต่ละชั้นมีกลอง 1 ใบ ใช้ตีสัญญาณบอกเหตุการณ์ เช่น มีศึก, มีไฟไหม้, และตีบอกเวลา