6 บุคคลสำคัญผู้ปลุกปั้น ‘ซลาตัน อิบราฮิโมวิช’

หนึ่งในข่าวคราวความเคลื่อนไหวเรื่องการซื้อขายย้ายทีมที่กำลังได้รับความสนใจจากสื่อและแฟนๆ มากที่สุดในขณะนี้ คงไม่พ้นอนาคตของ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช กองหน้าชาวสวีดิชของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นแน่

ดาวยิงวัย 35 ปี ย้ายมาร่วมทีมปีศาจแดงแบบไม่มีค่าตัวช่วงปิดฤดูกาล พร้อมเซ็นสัญญา 1 ปี โดยมีออพชั่นเสริมสามารถต่อสัญญาได้อีก 1 ปี จนถึงขณะนี้ โจเซ่ มูรินโญ่ กุนซือปีศาจแดง แสดงเจตนาชัดเจนว่าอยากให้เขาอยู่กับทีมต่อไป เช่นเดียวกับแฟนๆ ที่ต้องลุ้นกันใจหายใจคว่ำหลังมีข่าวว่า เขาอาจจะเลือกย้ายไปเล่นให้ แอลเอ แกแล็กซี่ ในเมเจอร์ลีก ซอคเกอร์ สหรัฐอเมริกา เสียก็ได้

ช่วงย้ายทีมมาใหม่ๆ ผลงานของซลาตันอาจจะยังไม่เข้าที่ ดีบ้างเสียบ้างจนถูกตั้งคำถามเรื่องอายุที่อาจจะกลายเป็นปัญหา แต่ถึงตอนนี้หลังจากซัลโวประตูให้ปีศาจแดงไปแล้ว 27 ลูก จากการลงสนาม 47 นัดในทุกถ้วย เขาก็กลายเป็นขวัญใจของเหล่าเด็กผีในทันที เรียกว่าไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน ซลาตันจอมอหังการซึ่งมีความมั่นใจเกินร้อยไม่ด้อยไปกว่าฝีเท้า ก็มักจะฝากผลงานและความทรงจำดีๆ ให้กับแฟนๆ และต้นสังกัดได้เสมอ

แต่กว่าจะมาเป็นซลาตัน อิบราฮิโมวิช ที่คอบอลรู้จักกันในวันนี้ ว่ากันว่ามีบุคคลสำคัญในชีวิตหลายคนที่ช่วยหล่อหลอมเขาให้เป็นยอดดาวยิงผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของวงการลูกหนัง
และนี่คือบุคคลสำคัญบางส่วนซึ่งมีอิทธิพลกับซลาตันในแต่ละช่วงชีวิตตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน…

Advertisement

เซฟิก อิบราฮิโมวิช
พ่อแม่ของซลาตันแยกทางกันตั้งแต่เขายังเล็ก พออายุได้ 9 ขวบ เซฟิก พ่อแท้ๆ ชาวบอสเนียที่ทำงานเป็นภารโรงก็มารับลูกชายไปอยู่ด้วย ขณะที่พี่สาวของเขาอยู่กับแม่
เซฟิกเป็นคนดื่มจัด บ่อยครั้งที่เมาหัวราน้ำจนไม่มีเวลาหุงหาอาหารให้ลูก ทำให้ซลาตันต้องเรียนรู้ที่จะดูแลตัวเองตั้งแต่เล็ก

ความดื้อรั้นก็เป็นอีกหนึ่งอุปนิสัยที่ถ่ายทอดไปถึงลูก โดยมีเรื่องเล่าว่าครั้งหนึ่งเซฟิกไปซื้อเตียงที่ห้างดัง อีเกีย แต่ไม่ยอมเสียเงินค่าขนส่ง และลากเตียงเป็นระยะทางหลายกิโลเมตรกลับบ้านด้วยตัวเอง

ซลาตัน และคุณพ่อ เซฟิก (ภาพ Björn Lindgren / expressen.se)

ว่ากันว่าการที่ซลาตันชื่นชอบศิลปะการต่อสู้ต่างๆ ก็เพราะเซฟิกสนใจในกีฬามวยและหนังของพระเอกนักบู๊อย่าง บรู๊ซ ลี และ เฉิน หลง โดยเชื่อกันว่าเป็นความหลังฝังใจจากพี่ชายของเซฟิกที่เป็นอดีตแชมป์มวยของยูโกสลาเวีย แต่ต้องเสียชีวิตก่อนวัยอันควรเพราะจมน้ำตาย

สุดท้ายถ้าไม่มีพ่อ ซลาตันอาจจะไม่ได้เดินบนเส้นทางลูกหนัง เพราะเซฟิกเคยฝันอยากให้ลูกชายเป็นทนายความ ก่อนจะล้มเลิกความตั้งใจและหนุนให้ซลาตันเป็นเด็กฝึกของสโมสร มัลโม่ ที่บ้านเกิดตอนอายุ 11 ปี

ลีโอ บีนฮักเกอร์
หลังจากสร้างชื่อกับมัลโม่จนพาทีมเลื่อนชั้น ซลาตันก็กลายเป็นนักเตะเนื้อหอมที่หลายสโมสรในยุโรปหมายตา ในจำนวนนี้คือ อายแอ็กซ์ ทีมดังแห่งแดนกังหันลมที่พยายามตามตื๊อแข้งหนุ่มดาวรุ่งมากกว่าใคร

เนื่องจาก ลีโอ บีนฮักเกอร์ กุนซือมากประสบการณ์ประทับใจในฝีเท้าของเด็กคนนี้ตอนชมเกมกระชับมิตรระหว่างมัลโม่กับสโมสร มอส ของนอร์เวย์
ว่ากันว่าบีนฮักเกอร์ไม่ได้ประทับใจแค่ลีลาการพาบอลเข้าไปยิงประตูอย่างสวยงามอย่างเดียว แต่ยังติดตราตรึงใจในความห้าวของเด็กหนุ่มแดนไวกิ้งที่เปิดบทสนทนากับเขาว่า “ถ้าคุณคิดจะหาเรื่องผม ผมจะเอาคืนเป็น 2 เท่า”

ในท้ายที่สุด ซลาตันก็ย้ายจากมัลโม่ไปอายแอ็กซ์ขณะอายุ 19 ปี ในปี 2001 ด้วยค่าตัว 85 ล้านโครเนอร์ (ประมาณ 330 ล้านบาท) ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดของวงการลูกหนังสวีเดนในขณะนั้น

เฮเลน่า ซีเกอร์
มีเรื่องเล่าว่า ซลาตันเห็นเฮเลน่าครั้งแรกตอนไปรอพี่ชายที่สถานีรถไฟในมัลโม่ ตอนนั้นเฮเลน่าลงจากรถแท็กซี่ด้วยท่าทางหัวเสีย ซึ่งด้วยนิสัยดิบๆ สไตล์ซลาตันทำให้เขาถูกใจความดุเดือดของสาวคนนี้มาก ต่อมาเขาเจอเฮเลน่าอีกครั้งที่ไนต์คลับในสตอกโฮล์ม จึงเข้าไปชวนคุยและเริ่มสนิทสนมกันมากขึ้นเรื่อยๆ

กระทั่งช่วงคริสต์มาสปี 2002 เมื่อซลาตันล้มป่วยจึงโทรหาเซเรน่า เธอก็ชวนเขาไปหาที่บ้านและช่วยดูแลจนหายดี พอการค้าแข้งที่อายแอ็กซ์เริ่มมีปัญหา เฮเลน่าก็อยู่เคียงข้างเขาโดยตลอด ด้วยความที่ฝ่ายหญิงมีอายุมากกว่าถึง 11 ปี ซลาตันจึงเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ใหญ่และมีความรับผิดชอบมากขึ้น ทุกวันนี้ชีวิตรักของทั้งคู่ยังคงหวานแหววและมีพยานรักด้วยกัน 2 คนแล้ว

ไมโน ไรโอล่า
ซลาตันเจอกับไรโอล่าครั้งแรกที่ร้านอาหารในโรงแรมที่อัมสเตอร์ดัมระหว่างฤดูกาล 2003-04 ตอนนั้น ซลาตันไม่ค่อยให้เครดิตเอเยนต์ลูกหนังคนนี้สักเท่าไร โดยบรรยายในหนังสืออัตชีวประวัติของตัวเองว่า ไรโอล่าเป็นผู้ชายพุงพลุ้ยที่สวมเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ ดูไม่เหมือนเอเยนต์ฟุตบอลเลยสักนิด

ไมโน ไรโอล่า (ซ้าย) เอเยนต์คนสำคัญ และเฮเลน่า ซีเกอร์ คู่ชีวิตของซลาตัน

แต่ใช้เวลาไม่นาน ไรโอล่าก็พิสูจน์ตัวเองว่าเข้าใจในตัวตนของซลาตันเป็นอย่างดี พอแข้งดังเริ่มมีปัญหากับการค้าแข้งที่อายแอ็กซ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับความเฮี้ยบของ หลุยส์ ฟาน กัล ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสโมสรในขณะนั้น ไรโอล่าก็ช่วยให้เขาย้ายไป ยูเวนตุส ในปี 2004 และได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่เอเยนต์ของเขามาโดยตลอด

ฟาบิโอ คาเปลโล่
ตอนคุมทีมยูเวนตุส คาเปลโล่ถูกอกถูกใจในฝีเท้าของซลาตันเอามากๆ และแสดงเจตนาชัดเจนว่าจะทาบทามเขามาร่วมทีม แม้ว่า ลูเชียโน่ ม็อจจี้ ประธานสโมสรม้าลายจะประกาศว่าซลาตันกับ ดาวิด เตรเซเกต์ สตาร์ชาวฝรั่งเศสของทีมไม่น่าเล่นด้วยกันได้ คาเปลโล่ก็ออกมาหักหน้าม็อจจี้ผ่านสื่อว่าทำได้แน่นอน

เมื่อมาร่วมงานกันจริงๆ ซลาตันก็ประทับใจในบุคลิกและบารมีในตัวกุนซือชาวอิตาเลียนอยู่ไม่น้อย เมื่อได้คาเปลโล่มาแนะนำดูแล ซลาตันก็เริ่มรักษามาตรฐานการเล่นได้สม่ำเสมอกว่าตอนอยู่อายแอ็กซ์ อีกทั้งยังเปลี่ยนสไตล์การเล่นไปอยู่ในเขตโทษมากขึ้น เพราะโดนคาเปลโล่จับนั่งดูวิดีโอการเล่นของ มาร์โก้ แวน บาสเท่น ยอดกองหน้าชาวดัตช์จนจำขึ้นใจ

นอกจากนี้ คาเปลโล่ยังสั่งให้ซลาตันเข้ายิมมากขึ้น เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแกร่ง รวมทั้งใส่ใจเรื่องโภชนาการซึ่งอาจจะเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขายังเล่นได้ดีแม้อายุจะปาเข้าไป 35 ปีแล้วก็ตาม

โจเซ่ มูรินโญ่
อันที่จริงซลาตันไม่ได้รังเกียจหรือไม่ชอบโค้ชที่เข้มงวด ขอเพียงเปิดใจและปล่อยให้เขาได้แสดงศักยภาพและตัวตนของตัวเองในสนาม แต่ไม่ชอบคนประเภทที่เอาแต่ยึดเรื่องระบบหรือปรัชญา เหมือนอย่างฟาน กัล และ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่เขามักบรรยายว่าเป็นพวก “คิดเยอะ” จนเกินไป

ฟาบิโอ คาเปลโล่ และโจเซ่ มูรินโญ่ สองกุนซือที่ซลาตันให้การยอมรับ

กรณีของมูรินโญ่ แม้จะเคยร่วมงานกันแค่ 1 ฤดูกาลสมัยอยู่ อินเตอร์ มิลาน แต่ก็เพียงพอที่จะสร้างความประทับใจดีๆ ให้กับทั้ง 2 ฝ่าย โดยซลาตันบรรยายว่า มูรินโญ่เป็นโค้ชประเภทที่ลูกทีมพร้อมทุ่มเทให้สุดตัวอย่างไม่มีเงื่อนไข

ว่ากันว่าตอนอยู่อินเตอร์ ต่อให้ซลาตันยิงเยอะขนาดไหน มูรินโญ่ก็จะยืนหน้านิ่งๆ ไร้อารมณ์อยู่ข้างสนาม คล้ายจะบอกว่าเขายังดีไม่พอ กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ดาวยิงชาวสวีดิชต้องยกระดับตัวเองให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป

การได้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้งที่โอลด์แทรฟฟอร์ดในตอนนี้ จึงเป็นความพึงพอใจที่ทั้ง 2 ฝ่ายมีร่วมกัน…

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image