‘จ้อน’ ประกาศวางมือทางการเมืองหลังพ้นวาระ สปท. ลั่นไม่ย้ายพรรคไปอยู่สังกัดอื่น

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) คนที่หนึ่ง ได้สื่อสารผ่านช่องทางทวิตเตอร์ โดยระบุว่า “เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2556 ผมใช้ทวิตเตอร์เสนอเรื่องการปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์ตอนเป็นรองหัวหน้าพรรค โดยหวังว่าจะส่งผลให้เกิดการปฏิรูปการเมืองและการปฏิรูปประเทศตามมา โดยเวลาผ่านมา 4 ปี เหตุการณ์บ้านเมืองเปลี่ยนไปมาก วันนี้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และประเทศกำลังมุ่งหน้าสู่การเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยอีกครั้งหนึ่ง”

นายอลงกรณ์กล่าวต่อว่า ในวันนี้ซึ่งถือเป็นปีใหม่ไทย 13 เมษายน 2560 เป็นฤกษ์ดีที่จะพูดถึงอนาคตของประเทศ ณ จุดเปลี่ยนสำคัญ และถึงเวลาที่ตนควรจะตอบคำถามของสื่อมวลชนเกี่ยวกับอนาคตทางการเมือง ที่ถามว่าจะลาออกจาก สปท. เพื่อลงสมัคร ส.ส.ครั้งหน้าหรือไม่ หรือจะตั้งพรรคการเมืองใหม่ หรือจะกลับไปพรรคประชาธิปัตย์ หรือจะไปอยู่พรรคไหนอย่างไร ขณะเดียวกันก็มีคำถามแฝงความสงสัยข้องใจถึงอนาคตของประเทศว่าจะเป็นเช่นไร การปฏิรูปยุทธศาสตร์ชาติและการปรองดองจะสำเร็จหรือไม่ คืบหน้าแค่ไหน” นายอลงกรณ์กล่าว

นายอลงกรณ์กล่าวต่อว่า ตนเชื่อมั่นเสมอว่าประเทศของเรามีอนาคตอย่างแน่นอน ด้วยเหตุผล 3 ประการ 1.ศักยภาพของประเทศ 2.ศักยภาพของคนไทย 3.การปฏิรูปประเทศอย่างต่อเนื่อง แต่ประเทศยังมีความเสี่ยงอยู่มาก โดยเฉพาะความขัดแย้งทางการเมือง มีการใช้ความรุนแรงและการแบ่งแยกของประชาชนจนนำมาสู่การรัฐประหารถึง 2 ครั้งในระยะ 10 ปี ยังมีปัจจัยทางการเมือง, เศรษฐกิจ, การก่อการร้าย, ภาวะโลกร้อนและเทคโนโลยีจากภายนอกประเทศที่เป็นอีกความเสี่ยงที่ส่งผลกระทบมากว่า 10 ปี และต่อๆ ไป ปท.มีศักยภาพทำให้เรามีความหวังและเรามีปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้กังวล และเรายังมี 6 ปัญหาใหญ่ของประเทศที่ต้องแก้ไข 1.การคอร์รัปชั่น 2.ความเหลื่อมล้ำ 3.การบังคับใช้กฎหมาย 4.ระบบราชการ 5.ระบบการเมือง 6.การเลือกตั้ง ปัญหาทั้ง 6 บวกความเสี่ยงทั้งในและนอกประเทศ เปรียบเสมือนโคลนติดล้อที่ต้องสลัดออก

นายอลงกรณ์กล่าวว่า เราสร้างความยั่งยืนของการปฏิรูปเพื่อให้เดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ด้วยการบัญญัติหมวดว่าด้วยการปฏิรูปประเทศและยุทธศาสตร์ชาติไว้ในรัฐธรรมนูญ การขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย แต่เราก็ทำให้ประเทศแข็งแรงขึ้น ขีดความสามารถในการแข่งขันดีขึ้นจนแซงเกาหลีใต้เป็นครั้งแรก ประเทศป่ายปีนจากก้นเหวแห่งวิกฤตการเมืองขึ้นมาสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง จาก 0.8% ในปี 2557 เป็น 2.8% ในปีถัดมา และเพิ่มเป็น 3.2% ในปี 2559 ประเทศต้องปฏิรูปต่อเนื่องเพื่อยกระดับจากประเทศรายได้ปานกลางสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ประชาชนมีรายได้สูงขึ้น 3 เท่าจากปัจจุบันโดยเครื่องมือพัฒนาใหม่ๆ การปฏิรูปจึงสำคัญยิ่งต่ออนาคตของประเทศ และสำคัญกว่าอนาคตของตัวเอง ประการสำคัญคือ การขับเคลื่อนการปฏิรูปต้องเป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดทั้งสิ้น

Advertisement

“เมื่อถึงโค้งสุดท้ายของการปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง หลายฝ่ายอยากให้ผมตั้งพรรคการเมืองทางเลือกใหม่ หลายคนอยากให้กลับพรรคประชาธิปัตย์ และบางพรรคเชิญไปอยู่ เรื่องการไปอยู่พรรคการเมืองอื่นหรือตั้งพรรคการเมืองใหม่คงไม่ทำ เพราะต้องรักษาสัจจะที่เคยพูดกับคนเพชรบุรีว่า เมื่อเกิดที่พรรคประชาธิปัตย์ก็จะอยู่เพียงพรรคเดียว เมื่อชั่งน้ำหนักระหว่างอนาคตทางการเมืองกับอนาคตของประเทศ ผมจึงตัดสินใจวางมือทางการเมืองเพื่อทำงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศจนถึงวาระสุดท้าย ผมพูดเสมอว่า ต้องแยกการเมืองออกจากการปฏิรูป การปฏิรูปประเทศครั้งนี้เป็นการปฏิรูปประเทศของเรา เพื่อไม่ให้มีผลประโยชน์ทางการเมืองของใครมาเกี่ยวข้อง การปฏิรูปประเทศจะบรรลุความสำเร็จต้องยึดประโยชน์ส่วนรวม ต้องเป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด แม้แต่ตัวเองและพวกพ้องก็ฝักใฝ่ไม่ได้ จึงจะได้รับความร่วมมือ” นายอลงกรณ์กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image