เมื่อวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมา เฟซบุ๊กแฟนเพจ Huawei Mobile ได้โพสต์ข้อความชี้แจงกรณีหน่วยความจำของ Huawei Mate 9 Series และ P10 Series สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ของหัวเว่ย ถูกพบว่าใช้ชิพประมวลผลและหน่วยความจำไม่เท่ากัน ส่งผลให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมาย ขณะที่มีลูกค้าในไทยจำนวนหนึ่งเข้าแจ้งความและเตรียมเข้าร้องเรียนต่อสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค โดยแถลงการณ์ของหัวเว่ยยืนยันว่าหน่วยความจำ UFS 2.1 และ UFS 2.0 นั้นมีความเร็วเท่าเทียมกัน
เรียน ลูกค้าคนสำคัญของหัวเว่ยทุกท่าน
หัวเว่ยได้ทราบถึงการพูดถึงเรื่องหน่วยความจำของ Huawei Mate 9 Series และ P10 Series จึงขอเรียนชี้แจง ดังนี้
UFS 2.1 เป็นมาตรฐานอินเทอร์เฟสที่กำหนดโดยสมาพันธ์ร่วมด้านวิศวกรรมชิ้นส่วนอิเลคตรอน (JEDEC) โดยทั้งมาตรฐาน UFS 2.1 (JEDEC Standard No.220C) และ UFS 2.0 (JEDEC Standard No.220 B) มีอัตราความเร็วเท่าเทียมกัน ระหว่าง 249.6 – 583.04 MB/วินาที หรือ 2496 – 5830.4 Mb/วินาที และ Huawei Mate 9 Series เป็นไปตามมาตรฐานอินเทอร์เฟสของ UFS 2.1
Advertisementสำหรับ Huawei P10 Series หัวเว่ยมีมาตรฐานในการจัดหาชิ้นส่วนและเลือกใช้โซลูชั่นจากผู้ผลิตหลากหลายที่น่าเชื่อถือทั่วโลก เพื่อให้มั่นใจว่าหัวเว่ยจะสามารถสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดให้แก่ผู้บริโภคควบคู่ไปกับการมีปริมาณการผลิตที่พอเพียงต่อความต้องการของผู้บริโภค
ในส่วนของเรื่อง DDR4 RAM บริษัทขอยืนยันว่า Huawei Mate9 Series และ P10 Series ใช้ DDR4 RAM
สำหรับคุณลูกค้าที่ใช้ Huawei Mate 9 Series และ P10 Series อยู่และมีความกังวลเกี่ยวกับสินค้า สามารถติดต่อได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าหัวเว่ย สาขา เอ็มบีเค เซ็นเตอร์ (เวลาให้บริการ 10.30-19.30 น.)
หัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป ประเทศไทย ขอยืนยันว่าเราดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงมาตรฐานสินค้าและความพึงพอใจของลูกค้าคนไทยทุกท่านเป็นสำคัญ
หัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป ประเทศไทย
ทั้งนี้ในโพสต์แถลงการณ์ดังกล่าวของหัวเว่ยมีลูกค้าผู้ใช้งานเข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมากโดยส่วนใหญ่แสดงความไม่พอใจต่อแถลงการณ์ดังกล่าว โดยระบุว่าเป็นการชี้แจงที่ไม่ชัดเจนเนื่องจากไม่มีมาตรการแก้ปัญหาให้กับลูกค้าอย่างตรงไปตรงมา โดยเฉพาะสำหรับลูกค้าที่ได้รับเครื่องที่เป็นหน่วยความจำ UFS 2.0 ซึ่งไม่ตรงกับที่โฆษณาไว้ในตอนแรก ขณะที่บางรายระบุว่าแถลงการณ์ดังกล่าวไม่ได้ช่วยให้ภาพลักษณ์ที่เสียไปดีขึ้น ควรหาทางแก้ปัญหาที่เป็นรูปธรรมให้กับลูกค้ามากกว่านี้