‘ประยุทธ์’ เข้าเฝ้าสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งราชอาณาจักรบาห์เรน

‘ประยุทธ์’ เข้าเฝ้าสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งราชอาณาจักรบาห์เรน พร้อมเยี่ยมชมมัสยิดอัล-ฟาเต๊ะก่อนเดินทางกลับไทย
เมื่อวันที่ 26 เมษายน ผู้สื่อข่าวรายงานภารกิจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ระหว่างเดินทางเยือนราชอาณาจักรบาห์เรนอย่างเป็นทางการ โดยในช่วงค่ำวันที่ 25 เมษายน พล.อ.ประยุทธ์เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระราชาธิบดีฮามัด บิน อิซา อัล คอลิฟะห์ แห่งราชอาณาจักรบาห์เรน ในโอกาสเดินทางเยือนราชอาณาจักรบาห์เรนอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 24-26 เมษายน นายกฯกราบบังคมทูลซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณที่ได้รับพระราชานุญาตฯ ให้เข้าเฝ้า ทั้งนี้ ประเทศไทยให้ความสำคัญกับบาห์เรนในฐานะมิตรประเทศที่สาคัญในตะวันออกกลาง และยังเป็นประเทศแรกในภูมิภาคตะวันออกกลางที่ได้มีโอกาสมาเยือน ซึ่งตรงกับครบรอบ 40 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ระหว่างสองประเทศ ส่วนความสัมพันธ์ระดับพระราชวงศ์ของทั้งสองประเทศ มีบทบาทสำคัญยิ่งในการส่งเสริมความร่วมมือ ระหว่างไทยกับบาห์เรน รัฐบาลและประชาชนไทยซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบาห์เรนที่ได้ทรงมีข้อความ พระราชสาส์นแสดงความเสียพระราชหฤทัยต่อการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และที่ได้ทรงมีข้อความพระราชสาส์นแสดงถวายพระพรชัยมงคล ต่อการขึ้นทรงราชย์ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร

นายกฯกราบบังคมทูลว่า ชื่นชมนโยบาย “Economic Vision 2030” ของบาห์เรน ซึ่งสมเด็จพระราชาธิบดีแห่ง บาห์เรนทรงมีบทบาทสาคัญในการก่อตั้ง เพื่อความมั่งคั่ง ของชาวบาห์เรน บนพื้นฐานความยั่งยืน ความเป็นธรรม และการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน สอดคล้องกับประเรทศไทยที่ได้ริเริ่มนโยบายประเทศไทย 4.0 ที่มุ่งเน้นนวัตกรรม ความรู้ เทคโนโลยี และการสร้างสรรค์ เพื่อสร้างความมั่นคงทางสังคมและป้องกันการติดอยู่กับกับดักรายได้ปานกลาง ดังนั้นจึงเห็นว่าทั้งสองฝ่ายสามารถร่วมมือกันผลักดันความร่วมมือเพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุนระหว่างกันได้ โดยเฉพาะบาห์เรนสามารถสนับสนุนไทยในการขยายตลาดสินค้าฮาลาล ซึ่งไทยเป็นผู้ผลิตและผู้ส่งออกชั้นนำของโลก ซึ่งไทยพร้อมที่จะส่งเสริมความร่วมมือกับบาห์เรนในประเด็นเกี่ยวกับความมั่นคงทางอาหาร ซึ่งไทยมีความเชี่ยวชาญอีกด้วยนอกจากนี้ ไทยยังพร้อมและยินดีต้อนรับและอำนวย ความสะดวกต่อชาวบาห์เรนที่เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย ทั้งนักท่องเที่ยวที่เดินทางมา ท่องเที่ยว และชาวบาห์เรนที่เดินทางมารับการรักษาพยาบาล

นายกฯกล่าวถวายรายงานถึงความสำเร็จของการหารือทวิภาคี ว่าได้มีการลงนามพิธีสารแก้ไขอนุสัญญาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักร ไทยและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรบาห์เรนเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากร ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญที่จะส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่าง และบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตรระหว่างไทยกับบาห์เรน ซึ่งจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือในด้านเกษตร ซึ่งรวมถึงด้านความมั่นคง ทางอาหารระหว่างกัน รวมทั้งการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่าง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์กับมหาวิทยาลัยบาห์เรน ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างกันด้วย นอกจากนี้ยังขอบคุณรัฐบาลบาห์เรนที่ช่วยดูแลคนไทยในบาห์เรนอย่างดียิ่ง

จากนั้นนายกฯได้เดินทางไปเยี่ยมชมมัสยิด Al Fateh (อัล-ฟาเต๊ะ) โดยกล่าวกับผู้นำศาสนา ว่า แม้จะนับถือศาสนาพุทธ แต่ก็เลื่อมใสในศาสนาอิสลาม ที่ผ่านมารัฐบาลให้การสนับสนุนศาสนกิจของพี่น้องชาวไทยมุสลิมอย่างต่อเนื่อง เช่น จัดพิธีลดศีลอดในเดือนรอมฎอนที่ทำเนียบรัฐบาล ในโอกาสนี้นายกฯได้ร่วมบริจาคเงินให้แก่มัสยิดด้วย ต่อมานายกฯ และคณะเดินทางออกจากท่าอากาศยานนานาชาติ กรุงมานามา และเดินทางถึงประเทศไทยในวันที่ 26 เมษายน เวลา 08.20 น.

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image