ไม่มีอะไรจะ “ย้อนแย้ง”มากไปกว่าการผลักดันร่างกฎหมายอันนำไปสู่ความต้องการในการ”ควบคุมสื่อ”อีกแล้ว
ขอให้เริ่มต้นจากชื่อ
นั่นก็คือ ร่างพรบ.การคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน
เป็นแนวคิดเดียวกับ พรบ.การพิมพ์ พ.ศ.2484
เป็นแนวคิดแทบไม่ต่างไปจากประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 17 หลังรัฐประหารเดือนตุลาคม 2501
ยุค จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
เป็นแนวคิดแทบไม่ต่างไปจากประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 42 หลังรัฐประหารเดือนพฤศจิกายน 2514
ยุค จอมพลถนอม กิตติขจร
สะท้อนความต้องการในยุค”อะนาล็อก” ขณะที่ในความเป็นจริงสังคมได้เข้าสู่ยุค”ดิจิตัล”แล้ว
ขอให้ไปฟังบาง”คำพูด”
เริ่มจากคำพูดของ พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร นักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 12
ที่บอกว่า “อยากยิงเป้าสื่อ”
ยิ่งเมื่อรับฟังคำพูดของ พล.อ.อ.คณิต สุวรรณเนตร ประธานคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการสื่อสารมวล ชน สปท.
“ถ้าไม่กำกับดูแลอาจเกิดการล่วงละเมิดสิทธิถึงขั้นสูญเสียทรัพย์สิน หากยังปล่อยไว้จะกระทบต่อความมั่นคงของชาติ”
ยิ่งบังเกิดความสยดสยองในทาง “ความคิด”
นี่คือกระบวนการที่มุ่งไปยัง “การควบคุม” มิใช่ “การคุ้มครอง” มิใช่ “การส่งเสริม”
เป็นความคิดแบบ”อำนาจนิยม”แห่งยุค”อะนาล็อก”
มติ 141 ที่เห็นชอบกับร่างพรบ.ควบคุมสื่อจึงเสมอเป็นเพียงการโอนถ่ายจาก “สปท.” มายัง “ครม.”ให้ นายวิษณุ เครืองาม ผ่อนคลาย
แต่ถึงจะมากด้วย “อภินิหาร” มากเพียงใด นายวิษณุ เครืองาม ก็มิอาจก้าวพ้นจากความเป็นจริง
“ลงเรือแป๊ะ ต้องตามใจแป๊ะ”
ทุกอย่าง”กำหนด”เอาไว้แล้วจาก “คสช.” เจ้าของเรือ