ปรับรถตู้5หมื่น ไม่ทำตามข้อกำหนด ด้าน ตร.ลุยเอาผิด 2 สามี-ภรรยา พระสงฆ์ ทะเลาะวิวาท

ผู้ประกอบการรถตู้มาเสียค่าปรับเพียงลำพัง โดยเสียค่าปรับให้กับ 2 สามีภรรยา

ผู้ประกอบการรถตู้มาเสียค่าปรับเพียงลำพัง โดยเสียค่าปรับให้กับ 2 สามีภรรยา ที่ก่อเหตุด้วย โดยทั้งคู่ไม่มาด้วย อ้างว่าหลังจากสั่งพักรถก็หาตัวไม่เจอ ยืนยันยอมรับผิดเพื่อยุติเรื่องและอยากพบพระต้นเหตุเพื่อกราบขอขมาและทรราบสาเหตุเพื่อนำไปสู่การแก้ไข ในขณะที่ขนส่งปราม หากเกิดเหตุกรณณีเช่นนี้อีก อาจจะนำไปสู่การเพิกถอนใบประกอบการขนส่งได้

ความคืบหน้ากรณีที่รถตู้ 2 สามีภรรยาทำร้ายร่างกายพระภิกษุสงฆ์ตามคลิป หลังจากที่ เมื่อ10.00 น.วันที่ 5 พ.ค.2560 พตอ.พันธุ์ศักดิ์ อุปพงศ์ ผกก.สภ.โพนทอง พร้อมด้วย พตท.ภิไชย จันทะวงษ์ รอง ผกก.หน.งานสอบสวน เดินทางเข้าพบนายกฤตภาส มุกดาประเสริฐ ขนส่งจังหวัดร้อยเอ็ด ที่ห้องทำงานสำนักงานขนส่งจังหวัดร้อยเอ็ด เพื่อรับทราบข้อเท็จจริงและรับเอกสารบันทึกปากคำนายพัลลภ ประเสริฐ คนขับรถ และนางสาวิตตรี ศรีสมบัติ ภรรยา เจ้าของ รถตู้โดยสารสายร้อยเอ็ด-มุกดาหาร หมายเลขทะเบียน 10-0855 มุกดาหาร หมายเลขข้างรถ 269-6 รถร่วมโดยสารของบริษัท ร้อยเอ็ด-เสลภูมิ ขนส่ง จำกัด ทำร้ายร่างกายผู้โดยสารซึ่งเป็นพระภิกษุสงฆ์ ซึ่งขนส่งตามตัวมาบันทึกปากคำเป็นหลักฐานเพื่อเตรียมดำเนินการเรียกมาดำเนินการตามระเบียบของขนส่ง ตามความผิดที่เกิดขึ้นทั้งกับผู้ก่อเหตุ และบริษัทเดินรถตามความผิดตามที่กฎหมายของกรมการขนส่งทางบก เพื่อเตรียบประกอบสำนวนดำเนินคดีกับ-ผู้ก่อเหตุทางกฎหมายอาญา

ซึ่งทางด้าน พ.ต.อ.พันธุ์ศักดิ์ อุปพงศ์ ผกก.สภ.โพนทอง กล่าวว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม้จะไม่ได้มีการแจ้งความจากทั้ง 2 ฝ่าย ก็ถือว่าเป็นการทำผิดกฎหมาย ตามกฎหมายอาญา ในข้อหา ทำร้ายร่างกาย และก่อเหตุทะเลาะวิวาท อื้ออึงในที่สาธารณะ ถือเป็นความผิด ซึ่งจะมีการเรียกตัวไปรับทราบข้อกล่าวหา เพื่อสอบสวนหาสาเหตุที่แท้จริง ทั้ง 2 สามี ภรรยา ที่ก่อเหตุ รวมทั้งพระสงฆ์รูปดังกล่าวในภาพ ที่ร่วมก่อเหตุทะเลาะวิวาท ก็ได้นำคลิปไปสอบถามเจ้าคณะอำเภอโพนทองแล้ว ว่าพระรูปดังกล่าวถือว่าไม่สำรวม ผิดวินัยสงฆ์ข้อ ปาจิตตี ข้อ 74 และ 75 ซึ่งจะมีการออกหมายเรียก พระรูปดังกล่าวตามคลิป ที่ทราบชื่อภายหลังว่าพระชูมิตร อภิชชาโว (นามสกุลฤทธิ์ร่วม)อายุ 42 ปี ซึ่งจำวัดอยู่ที่ วัดสุธรรมาราม ต.นาใน อ.พรรณานิคม จ.สกลนครมาพบ เพื่อดำเนินคดีร่วมก่อเหตุทำเลาะวิวาทต่อไป ซึ่งหากไม่มาพบก็อาจจะต้องอออกหมายจับตามระเบียบของกฏหมายต่อไป

Advertisement

ต่อมาเมื่อเวลา 16.00 น.ที่ผ่านมา นายไพศาล แก้ววิเศษ อายุ 42 ปี ในฐานะกรรมการผู้จัดการบ.ร้อยเอ็ด-เสลภูมิขนส่ง จำกัด ผู้ประกอบการขนส่งรถตู้ สาย 269-6 ร้อยเอ็ด-ดอนตาล (จ.มุกดาหาร) เดินทางเข้าพบ นายกฤตภาส มุกดาประเสริฐ ขนส่งจังหวัดร้อยเอ็ด ที่ห้องทำงานสำนักงานขนส่งจังหวัดร้อยเอ็ด พร้อมกับนำเงินค่าปรับ 50,000 บาท มาเสียค่าปรับให้กับเจ้าหน้าที่ขนส่งจังหวัดร้อยเอ็ด ตามความผิดไม่ควบคุมการเดินรถของรถร่วมให้เป็นไปตามข้อกำหนดของขนส่ง เป็นเงิน 40,000 บาท ส่วนอีก 10,000 บาทเป็นค่าปรับตามความผิดของคนขับรถ และ ภรรยา ที่ทำผิดระเบียบของขนส่ง และร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้โดยสารที่เป็นพระภิกษุสงฆ์ ปรับคนละ 5,000 บาท เพื่อยุติเรื่องราวดังกล่าว

โดยนายไพศาล แก้ววิเศษ อายุ 42 ปี ในฐานะกรรมการผู้จัดการบ.ร้อยเอ็ด-เสลภูมิขนส่ง จำกัด กล่าวว่า เหตุที่ ตนมาเพียงลำพัง และต้องจ่ายค่าปรับให้กับผู้ก่อเหตุทั้งคู่เนื่องจาก หลังจากทำความผิดและตนสั่งพักการเดินรถ 30 วันเพื่อลงโทษ ปรากฏว่าทั้งคู่หายตัวไป ตนพยายามติดต่อให้มาเสียค่าปรับขอทั่งคู่ด้วยตนเอง ตามความผิด แต่ไม่สามารถติดต่อได้ จึงจำต้องมาจ่ายค่าปรับให้ด้วยเพื่อยุติปัญหา และหลังจากครบกำหนด หากรถคันนี้จะเข้าร่วมเดินรถอีก จะนำตัว คนขับรถรายนี้ มาพบเจ้าหน้าที่ขนส่งจังหวัด เพราะต้องมีการอบรมด้านมารยาทและระเบียบใหม่ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นอีก ส่วนผู้หญิงที่เป็นคนก่อเหตุอีกคนก็จะห้ามขึ้นรถทำหน้าที่เจ้าหน้าที่ประจำรถ หรือมาทำหน้าที่เก็บเงินค่าโดยสารอีก บนรถอีกเพราะผิดระเบียบของรถตู้โดยสาร

และยืนยันว่าสาเหตุของเรื่องไม่ได้เกิดจากการเก็บค่าโดยสารเกินกำหนด แต่เหตุเพราะทะเลาะกันเรื่องพระภิกษุสงฆ์ ถ่มน้ำลายในรถเป็นต้นเหตุ ของการทะเลาะวิวาท จนกระทั่งไล่ผู้โดยสารลงจากรถ จนเกิดเรื่องขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ตนไม่ติดใจพระรูปดังกล่าว แต่ต้องการที่จะเพื่อกราบขอขมา ในการที่รถร่วมคันดังกล่าวทำให้เสียชื่อเสียงของบริษัท หากติดต่อพระรูปดังกล่าวได้

Advertisement

นายกฤตภาส มุกดาประเสริฐ ขนส่งจังหวัดร้อยเอ็ด กล่าวว่า เหตุทีเกิดขึ้ถือเป็นบทเรียนของผู้ประกอบการขออนุญาตเดินรถ ที่ต้องมีกฎระเบียบเข้มงวด ในส่วนของรถร่วมที่จะต้องไม่ทำผิดระเบียบและทำให้เกิดความเสียหาย ผลกระทบต่อผู้โดยสาร ซึ่งกล่าวว่า ครั้งนี้เป็นพียงแค่การตักเตือนและปรับตามระเบียบ แต่หากยังพบว่าหากยังมีการปล่อยปละละเลย ให้รถร่วมกระทำความผิดลักษณะเช่นเดียวกันนี้อีก อาจจะต้องมีการลงโทษหนักกว่านี้ ซึ่งถึงขั้นถอนใบอนุญาตประกอบการขนส่งได้ ซึ่งได้เตือนให้ผู้ขออนุญาตประกอบการมีต้องมีมาตรการ การควบคุมผู้เข้าร่วมกิจการเดินรถที่ดีกว่านื้ ไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีกเด็ดขาด ต่อไป. ไม่เช่นนั้นอาจจะนำไปสู่การเพิกถอนใบอนุญาตได้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image