‘ฮิวแมนไรท์วอทช์’แถลงการณ์ชี้บึ้มบิ๊กซี ปัตตานี อาชญากรรมมนุษยชาติ

เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า องค์กรสิทธิมนุษยชน ฮิวแมนไรท์วอทช์ สำนักงานใหญ่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ได้ออกแถลงการณ์ “ประเทศไทย : ผู้ก่อความไม่สงบวางระเบิดห้างสรรพสินค้าในภาคใต้พุ่งเป้าโจมตีพลเรือนซึ่งอาจเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ” โดยระบุว่า ถือเป็นการวางระเบิดห้างสรรพสินค้าใหญ่สุดในจังหวัดชายแดนใต้ของไทย คาดว่าเป็นผลงานของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบแบ่งแยกดินแดน ที่มีเป้าหมายทำให้เกิดความสูญเสียมากสุดต่อพลเรือน โดยมีการระเบิดขนาดเล็กภายในห้างสรรพสินค้า ส่งผลให้ประชาชนแตกตื่นตกใจวิ่งหนีกันออกมาที่บริเวณลานจอดรถ ไม่นานหลังจากนั้นก็มีการกดระเบิดขนาดใหญ่ที่ซ่อนในรถกระบะที่จอดอยู่ด้านนอกตัวอาคารของห้างสรรพสินค้า ซึ่งการระเบิดสองครั้งส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 61 คนรวมทั้งเด็ก แสดงให้เห็นความทารุณและไม่คำนึงถึงชีวิตพลเรือน ถือเป็นการใช้ยุทธวิธี “หน่วงเวลาเพื่อกดระเบิดซ้ำ ซึ่งยุทธวิธีดังกล่าวถือเป็นสิ่งที่ทางกลุ่มติดอาวุธแบ่งแยกดินแดนได้ใช้ก่อความไม่สงบในภูมิภาคนี้เป็นเวลานาน

นายแบรด อดัมส์ ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชีย ฮิวแมนไรท์วอทช์ กล่าวว่า การโจมตีที่ห้างบิ๊กซีเป็นสัญญาณบ่งบอกความรุนแรงสูงสุดของฝ่ายแบ่งแยกดินแดน เป็นการโจมตีที่พุ่งเป้าไปที่พลเรือน ซึ่งอาจถือเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ รัฐบาลควรนำตัวผู้กระทำผิดทุกคนมาลงโทษ เพราะนับแต่มีการโจมตีด้วยอาวุธเพิ่มขึ้นอย่างมากหลังเดือนมกราคม 2547 ผู้ก่อความไม่สงบจากกลุ่ม Barisan Revolusi Nasional (BRN) ได้กระทำการที่ละเมิดกฎหมายสงครามหรือที่เรียกว่า กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ห้ามการโจมตีต่อพลเรือน หรือการโจมตีที่ไม่แยกแยะระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารกับพลเรือนหลายครั้ง แม้ว่ากลุ่มผู้ก่อความไม่สงบต้องประสบกับความเสียหายครั้งใหญ่จากการโจมตีกวาดล้างของกองกำลังฝ่ายรัฐบาลในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่คนกลุ่มนี้ยังคงกระจายอยู่ในหมู่บ้านชาวมุสลิมเชื้อสายมลายูหลายร้อยแห่ง และมักอ้างถึงยุทธวิธีที่มิชอบและรุนแรงของกองกำลังของรัฐบาล เพื่อจูงใจให้มีบุคคลเข้าร่วมเพิ่มขึ้นเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการกระทำที่รุนแรงของตนเอง

“เรายังคงกังวลอย่างยิ่งกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และกฎหมายสงคราม ทั้งของฝ่ายกองกำลังของรัฐบาลไทยและกลุ่มติดอาวุธอื่นๆ การสังหาร การบังคับให้สูญหาย และการทรมาน ไม่อาจถือเป็นการตอบโต้ที่ชอบธรรม สถานการณ์นี้อาจเลวร้ายยิ่งขึ้น เนื่องจากวัฒนธรรมการลอยนวลพ้นผิดที่หยั่งรากลึก หลังพบการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐในจังหวัดชายแดนใต้ จนถึงปัจจุบัน รัฐบาลยังไม่สามารถฟ้องร้องดำเนินคดีต่อเจ้าหน้าที่รายใดที่ปฏิบัติมิชอบด้านสิทธิมนุษยชนต่อชาวมุสลิมเชื้อสายมลายู ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการก่อความไม่สงบได้เลย ดังนั้นรัฐบาลไทยต้องตอบโต้กับการโจมตีที่โหดร้ายนี้ด้วยการยึดมั่นตามหลักนิติธรรม ด้วยการยุติการปฏิบัติมิชอบในบรรดากองกำลังของรัฐบาลเอง และแก้ปัญหาความอึดอัดคับข้องใจที่มีมาอย่างยาวนาน ในบรรดาชุมชนมุสลิมเชื้อสายมลายู หากรัฐบาลยังคงปกป้องไม่ให้กองกำลังของตนต้องรับผิดทางอาญาต่อไป ก็จะยิ่งเป็นการเติมเชื้อไฟให้กับความรุนแรงของกลุ่มที่สุดโต่ง”นายแบรด อดัมส์ กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image