วันนี้ (11 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 21.31 น.ที่ผ่านมา เฟซบุ๊กบัญชีชื่อ ‘Banyong Pongpanich’ ซึ่งเป็นของ นายบรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร อดีต กรรมการ คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) หรือซูเปอร์บอร์ดโพสต์ข้อความในหัวข้อ “การลงทุนในไทย ….เพิ่ม หรือ หด กันแน่?”
โดยระบุว่า ตื่นเช้าวันหยุด ทุกสื่อพาดหัวรายงานการแถลงของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่ออกมาประกาศผลงานสามปีของรัฐบาลนี้ เนื้อความทำนองว่า “นโยบายรัฐบาลประยุทธเห็นผล การลงทุนสามปีโต 1.7 ล้านล้านบาท” ซึ่งช่างสอดคล้องกับคำสั่งให้ทุกหน่วยงานแถลงผลงานในช่วงสามปีที่ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) บริหารประเทศ ว่าทำคุณประโยชน์ให้ประเทศอเนกอนันต์ขนาดไหน อ่านแต่พาดหัวนี่ดูน่าปลื้มอกปลื้มใจมากเลย แต่พอไปดูรายละเอียดที่เขาแถลงการณ์กลับกลายเป็นว่า ตัวเลขการลงทุนจริงที่เกิดจากโครงการที่ได้รับการส่งเสริม ในปี 2557 มีการลงทุน 600,000 ล้านบาท ปี 2558 ลดเหลือ 500,000 ล้านบาท พอปี 2559 หดลงอีกมีแค่ 490,000 ล้านบาท และสามเดือนแรกปีนี้มีอีก 80,000 ล้านบาท ซึ่งถ้าอีกสามไตรมาสยังลงน้อยเท่าๆ นี้จะมีแค่ 320,000 ล้านบาทเท่านั้น เห็นแล้วใจแป้วมากๆ เลย
“อย่างนี้เขาเรียกว่าหดตัวครับ ไม่ใช่ขยายตัว มันเท่ากับว่า ปี2558 หดตัว -17% ปี2559หดอีก -2% แถมปีนี้ ทำท่าจะหดได้มากถึง -35% เลยทีเดียว แถมถ้าไปฟังท่านเลขาธิการฯ แถลงยืนยันว่า ในสามปีนี้จะมีลงทุนอีกไม่น้อยกว่า 1 ล้านล้านบาท ยิ่งน่ากลุ้มใจจนอยากเอาตีนก่ายหน้าผาก เพราะนั่นมันลดลงจากสามปีก่อนถึงกว่าหนึ่งในสามเลยทีเดียว อีกอย่างหนึ่ง ที่แถลงนั่นมันสามปีสามเดือนนะครับ ไปเอาผลงานสมัยยิ่งลักษณ์เค้ามาเกือบห้าเดือน”
นายบรรยง ระบุด้วยว่า ทั้งหมดเป็นตัวเลขที่ยังไม่ได้เทียบกับรายได้ประชาชาติเลย ถ้าเทียบกับ GDP ยิ่งต้องกุมขมับเข้าไปใหญ่ เพราะมันต้องลดมากกว่านี้อีก เนื่องจากขนาดปีแย่ๆ GDP ก็ยังขยายตัวปีละประมาณ5%ทุกปี (Nominal Rate) นี่เรียกว่าแถลงปัญหาแล้ว ไม่ใช่แถลงผลงาน มันควรจะพาดหัวว่า “BOI ยอมรับ ว่าการลงทุนไม่กระเตื้อง ยังหดตัวต่อเนื่องตลอดสามปี ถึงแม้ว่ารัฐบาลประยุทธจะใช้ความพยายามและทำงานอย่างหนัก แถมยังมีแนวโน้มลดลงอีกในสามปีข้างหน้า”
“ผมไม่มีตัวเลขลงทุนจริงผ่าน BOI ในปี 2556 เลยไม่รู้ว่าปี 2557 นั้นหดหรือเปล่า เพราะปกติ BOI ท่านแถลงแต่ตัวเลขคนขอส่งเสริม กับตัวเลขที่อนุมัติ เพิ่งมาแถลงตัวเลขลงทุนจริงในครั้งนี้ ซึ่งผมก็หวังว่าท่านไม่คุ้น เลยบวกตัวเลขผิดหรือรับรายงานผิด ไม่งั้นมันแปลว่าเรากำลังเจอปัญหาหนัก และเศรษฐกิจยากที่จะฟื้นไปอีกหลายปี” นายบรรยง ระบุ
นายบรรยง ระบุด้วยว่า ที่พอปลอบใจได้หน่อยก็คือข้อเท็จจริงที่ว่า การลงทุนผ่าน BOI ไม่ใช่การลงทุนภาคเอกชนทั้งหมด ซึ่งโดยปกติแล้วจะอยู่ที่ 20% ก็เลยยังพอมีหวัง ที่ไม่รู้ว่าลมๆ แล้งๆ หรือเปล่า ว่าการลงทุนที่ไม่ขอส่งเสริมจะยังขยายตัว ไม่หดตาม ยิ่งไปอ่านงานวิจัยเรื่อง “สิทธิประโยชน์ทางภาษีกับการดึงดูดนักลงทุน” ของสถาบันวิจัยป๋วย (PIER) แล้วยิ่งเพิ่มกังวล เพราะว่าประเทศไทยอัดฉีดส่งเสริมมากสุดในอาเชี่ยนแล้ว เรามีอัตราภาษี Effective Rate แค่ 7.6% เท่านั้นเอง ขณะที่ฟิลิปปินส์มี 17.9% อินโดนีเซีย 13.9% มาเลเซีย 10.2% และเวียตนาม 9.9% ซึ่งงานวิจัยก็แนะนำว่าการส่งเสริมโดยลดภาษีจะไม่ช่วยอะไรอีก แต่เป็นเรื่องอื่นๆ เช่น คุณภาพของสถาบัน คุณภาพของกฎระเบียบ ของรัฐบาลมากกว่า ตนขอแถมเรื่องคุณภาพสาธารณูปโภคพื้นฐาน คุณภาพรัฐวิสาหกิจ และคุณภาพคน บวกด้วยระดับการคอร์รัปชั่นเข้าไปด้วย เพราะฉะนั้นการจะไปโรดโชว์กี่ร้อยเที่ยวก็อาจจะไม่เกิดผล
บรรยง มองว่า การลงทุนภาคเอกชน เป็นปัจจัย เป็นเครื่องจักร ที่สำคัญที่สุด ในการเติบโตอย่างมีคุณภาพของเศรษฐกิจในระบบปัจจุบัน การส่งออกในระยะยาวจะเพิ่มไม่ได้เลยถ้าไม่มีการลงทุน การบริโภคในประเทศก็เพิ่มยากเพราะถ้าไม่มีการลงทุนคนรายได้น้อยและรายได้ปานกลางก็จะไม่มีรายได้เพิ่มแถมหนี้ครัวเรือนก็ถึงคอหอยแล้ว คนรวยก็ไปบริโภคของนอกหรือไม่ก็นอกประเทศกันหมด รัฐลงทุนได้อย่างมากก็ 6-7% ของ GDP แถมถ้าทำต่อเนื่องสักสิบปี หนี้สาธารณะก็คงระเบิด
“ทำไมเอกชนไม่ยอมลงทุน นี่เป็นคำถามที่ต้องวิเคราะห์ต้องประเมินให้เข้าใจถ่องแท้ ถ้าไปคิดเอาแค่ง่ายๆ ว่า เพราะไม่มั่นใจ หรือไปคิดว่าจะกระตุ้นได้โดยแค่ลดภาษี หรือแค่ให้รัฐลงทุนนำ หรือจะแค่ทำ EEC ผมว่ามันจะเสี่ยงเกินไปนะครับ ไว้จะร่ายยาวเรื่องนี้อีกทีนะครับ” บรรยง โพสต์ทิ้งท้าย