เมื่อวันที่ 18 มีนาคม ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ต.ทรงพล วัธนะชัย ผบก.น.6 รองโฆษก ตร. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการติดตามความคืบหน้าคดีนายเจนภพ วีรพร อายุ 37 ปี ผู้ก่อเหตุขับขี่รถเมอร์ซิเดส-เบนซ์ ป้ายทะเบียน ษง 3333 กรุงเทพมหานคร พุ่งชนรถ 2 นักศึกษาปริญญาโทไฟคลอกจนเสียชีวิต เมื่อวันที่ 13 มีนาคมที่ผ่านมาว่า ทาง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รอง ผบ.ตร. ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าเร่งรัดคดีพร้อมสั่งโอนคดีจากสถานีตำรวจภูธรพระอินทร์ราชาไปให้กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพระนครศรีอยุธยาตั้งทีมทำงานเฉพาะกิจดำเนินการ และมอบหมายให้ พ.ต.อ.สุรินทร์ ทับพันบุบผา รอง ผบก.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา เป็นผู้รับผิดชอบคดีนี้ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ขึ้นว่าขาดตกบกพร่องส่วนไหน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการดำเนินคดี และต้องตรวจสอบไปตามขั้นตอน โดยเฉพาะตาม ป.วิอาญา มาตรา 131 ที่ระบุว่าให้พนักงานสอบสวนรวบรวมหลักฐานทุกชนิด เพื่อทราบข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับความผิดที่ถูกกล่าวหา และพิสูจน์ให้เห็นความผิดหรือความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหา
เมื่อถามว่า กระแสที่เกิดการวิจารณ์ถึงการให้ตรวจสอบแอลกอฮอล์ของนายเจนภพ ซึ่งตามกฎหมายแล้วตำรวจต้องดำเนินการอย่างไร รองโฆษก ตร. กล่าวว่า ทางตำรวจก็ต้องยึดหลักและดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งทางผู้ต้องหามีสิทธิปฏิเสธไม่ตรวจวัดแอลกอฮอล์ได้ แต่ในหลักกฎหมายพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 ตามมาตรา 142 หากถูกปฏิเสธ ทางตำรวจก็สามารถดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาได้ กล่าวคือ หากเมาแล้วไม่ให้ตรวจก็สันนิษฐานว่าเมา
สำหรับกรณีที่ครอบครัวนายเจนภพส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาล พนักงานสอบสวนสามารถไปสอบปากคำแพทย์หรือพยาบาลได้หรือไม่ พล.ต.ต.ทรงพลตอบว่า เท่าที่สอบถาม คือให้พนักงานสอบสวนช่วยตรวจ ส่วนรายละเอียดจะมีผลตรวจอย่างไร ทางชุดพนักงานสอบสวนก็ลงไปตรวจสอบว่าแพทย์หรือพยาบาลได้ตรวจจริงหรือไม่ หากไม่ได้ตรวจ เพราะอะไร เป็นการบกพร่องต่อหน้าที่หรือไม่ ทั้งนี้ ตนยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายอยู่แล้ว หากทำสิ่งไหนที่เคลือบแคลงสังคมสามารถตรวจสอบได้ทันที ฉะนั้นพนักงานสอบสวนชุดนี้ต้องไขคดีให้เกิดความกระจ่างต่อสังคมได้
ต่อข้อซักถามว่า กรณีที่นายเจนภพขับรถชนพุ่งชนไม้กั้นที่ด่านพระรามที่ 4 จนไม้กั้นเสียหายก่อนจะไปก่อเหตุ 1 ชม.นั้น รองโฆษก ตร.ตอบว่า หากเป็นในคดีที่เชื่อมโยงกัน และพิสูจน์ว่าเป็นความผิดจริง เขาก็ต้องมีความผิดอยู่แล้ว ฐานทำให้เสียทรัพย์ รวมถึงตรวจสอบว่ามีการจ่ายค่าทางด่วนหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีกรณีที่ผู้ต้องหายังเคยทำความผิดในลักษณะดังกล่าวมาก่อนหน้านี้ ดังนั้น ทางชุดสืบสวนจึงต้องตรวจสอบโดยเอาผลของคดีเก่ามาใช้ในการเพิ่มโทษได้
ด้าน พล.ต.ต.สุทธิ พวงพิกุล ผบก.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา เปิดเผยว่า พล.ต.ท.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 (ผบช.ภ.1) มีคำสั่ง ภ.1 ลงวันที่วันนี้ ให้ พ.ต.อ.พงศ์พัฒน์ สุขสวัสดิ์ ผกก. สภ.พระอินทร์ราชา จ.พระนครศรีอยุธยา และ พ.ต.ท.สมศักดิ์ พลพันขาง รอง ผกก. (สอบสวน) สภ.พระอินทร์ราชา ไปประจำ ศปก.ตร.ภ.1 เป็นเวลา 15 วัน โดยขาดจากตำแหน่งเดิม และมอบหมายให้ พ.ต.อ.เอกราช อุ่นเจริญ ผกก.สอบสวน ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา ไปรักษาราชการแทน รรท.ผกก.สภ.พระอินทร์ราชา