หมอวรงค์ แนะ บิ๊กตู่ ใช้ม.44 สั่งปฏิรูปการศึกษา เพิ่มงบ-ให้อำนาจ-เลิกประเมินแบบเก่า

วันที่ 22 มีนาคม นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การที่ คสช.มีคำสั่ง เรื่อง การขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาค และการบริหารราชการของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาคนั้น สิ่งที่ต้องพิจารณาคือ คำสั่งทั้ง 2 ฉบับ จะนำไปสู่การปฏิรูปเชิงคุณภาพของการศึกษาชาติได้จริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่ปฏิรูปโครงสร้างทางอำนาจของผู้บริหารเท่านั้น โดยเปลี่ยนจากเหล้าที่อยู่ในขวดปัจจุบัน นำไปใส่ขวดเก่าที่เคยมีมาในอดีต โจทย์ใหญ่ทางคุณภาพการศึกษาคือ ต้องนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่โรงเรียน คือ ผอ.โรงเรียน ครู ผู้ปกครอง หลักสูตร งบประมาณ การบริหาร เพื่อให้เด็กไทยสัมฤทธิผลคุณภาพ 7 ด้านคือ 1.เป็นคนเก่ง 2.เป็นคนดี 3.มีวินัย เป็นพื้นฐานของการเคารพกติกา กฎหมายของสังคม 4.มีเหตุมีผล เป็นเรื่องที่ต้องฝึกเด็กให้ใช้เหตุใช้ผล การคิดและวิเคราะห์ เพื่อให้เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ 5.ความสามารถสื่อสารได้สองภาษา 6.ทักษะชีวิต ความสามารถเอาตัวรอดในสังคม นอกตำราเรียน และ 7.การใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับวัย

“คำสั่ง คสช.ทั้งสองฉบับดังกล่าว จะพบว่ายังไม่ตอบโจทย์ที่จะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่โรงเรียนและห้องเรียน เป็นเพียงจุดเริ่มต้นให้รวมศูนย์การบริหารงานที่แตกกระจายมาอยู่ที่แห่งเดียวภายในจังหวัด ดังนั้น ถ้ารับรู้ถึงเป้าหมายเชิงคุณภาพของการศึกษาว่าจะต้องนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง รัฐบาลและ คสช.ต้องไม่หยุดเพียงแค่สองคำสั่งนี้ ต้องมีคำสั่งเพิ่มเติมในการเพิ่มอำนาจ การบริหารบุคลากร เพิ่มเติมงบประมาณตรงสู่โรงเรียน ยกเลิกการประเมินแบบเก่า โดยหันมาประเมินนักเรียนเพื่อให้เป็นผลงานของครูและ ผอ.โรงเรียน กำหนดเป้าหมายการประเมินแก่ ผอ.โรงเรียน พัฒนาให้โรงเรียนเป็นหัวใจของการศึกษา โดยการสร้างค่านิยมว่า การเป็นผอ.โรงเรียนถือว่าสูงสุด ส่วนระดับจังหวัด ระดับภาคและกระทรวงเน้นที่การเป็นหน่วยงานที่อำนวยความสะดวกแก่โรงเรียน คอยติดตาม สนับสนุน ประเมินผลตามเป้าหมาย เพื่อสร้างเด็กไทยให้ได้คุณภาพ ถ้ารัฐบาลและ คสช.สามารถดำเนินการต่อ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายคุณภาพการศึกษา ถือว่าคุ้มค่ามากกับภารกิจเพื่อปฏิรูปการศึกษา แต่ถ้าไม่ทำอะไรต่อ ก็เป็นเพียงการจัดสรรอำนาจของผู้บริหารเท่านั้น” นพ.วรงค์กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image