อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกำลังเป็นรายได้หลักของประเทศไทย แต่ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา (สิงหาคม-ตุลาคม 2561) ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนกลับหายไปจนน่าเป็นห่วง ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการในแวดวงธุรกิจการท่องเที่ยวจำนวนมาก อาทิ โรงแรม ที่พัก ไม่มีนักท่องเที่ยวจีนเข้าพัก ตัวเลขยอดจองเที่ยวบินหดหาย รายได้ลดต่ำลง รัฐบาลนิ่งเฉยต่อสถานการณ์ที่แทบจะวิกฤตเช่นนี้ไม่ได้ จึงผลักดันให้เกิดมาตรการกระตุ้นนักท่องเที่ยวจีนขึ้นมา
อาทิ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ย้ำให้ทุกหน่วยงานให้ความสำคัญกับนักท่องเที่ยวจีน โดยให้ทำควบคู่กันทั้งเรื่องการดูแลรักษาความปลอดภัยทั้งระบบ และแคมเปญการตลาดเพื่อดึงนักท่องเที่ยวจีนเข้ามายังประเทศไทยภายในปีนี้ให้ถึง 10 ล้านคน
ล่าสุดคือ มาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียม Visa on Arrival (VOA) หรือ ฟรีวีซ่า ซึ่งปกติจัดเก็บที่อัตรา 2,000 บาทต่อคน ยกเว้น 21 ประเทศ มีจีนรวมอยู่ด้วย ซึ่งมาตรการนี้แสดงถึงความพร้อมในการต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนอย่างแท้จริง และคาดหวังว่าจะเป็นอีกหนึ่งแรงกระตุ้นให้คนจีนอยากกลับมาท่องเที่ยวในไทยเพิ่มขึ้นได้ โดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบให้ยกเลิกการเก็บค่าธรรมเนียมวีซ่าเข้าประเทศ เป็นเวลา 60 วัน มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2561
ผ่านมาประมาณ 10 วัน ภาคเอกชนให้ข้อมูลว่ายอดนักท่องเที่ยวจีนฟื้นตัวมากขึ้นถึง 20% แล้ว จากที่คาดว่าจะหายไปถึง 7 แสนคน ปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา มียอดจองตั๋วเครื่องบินและยอดจองที่พักเข้ามามากกว่าเดิม หลายฝ่ายคาดว่ามาตรการดังกล่าวจะเป็นยาแรงชั้นดีในการกระตุ้นนักท่องเที่ยวจีนกลับมา และช่วยกู้วิกฤตการท่องเที่ยวของไทยได้ ซึ่งมาตรการดังกล่าวเป็นเพียงระยะสั้น อาจช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ แต่ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาระยะยาวอย่างยั่งยืน
เพราะสิ่งสำคัญกว่า คือ การดำเนินงานของทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ที่่ต้องร่วมมือกันสร้างมาตรฐานด้านความปลอดภัยในการท่องเที่ยวประเทศไทย ต้องทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติมั่นใจและอยากกลับมาเที่ยวไทยอีก แบบนี้อนาคตก็แทบไม่ต้องมีมาตรการกระตุ้นใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่ว่าใครก็ต้องการมาเที่ยวในที่ ที่ปลอดภัยทั้งนั้น
รวมถึงหากคนในประเทศนั้นๆ แสดงออกถึงน้ำใจและการต้อนรับที่เป็นมิตร ก็จะช่วยสร้างความประทับใจและสร้างความ “อยาก” ในการกลับมาอีกครั้ง
วิณัฐฏาภรณ์ ศิริโสม
