เกิดเสียงเซ็งแซ่ขึ้นในหมู่ผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่ รายกลางและรายเล็ก (เอสเอ็มอี) ถึงสถานการณ์การเข้าถึงสินเชื่อ ตลอดจนความเชื่อเหลือต่างๆ จากภาครัฐ
ว่ากำลังเกิดความไม่เท่าเทียม หรือจะเรียกความเหลื่อมล้ำอย่างหนึ่งก็ได้
ยิ่งใกล้ฤดูเลือกตั้งสถานการณ์ดังกล่าวเริ่มเด่นชัด
โดยข้อมูลที่ถูกยืนยันว่า “จริง” จากหลายทาง คือขณะนี้เกิดปรากฏการณ์ที่ว่า หากเอสเอ็มอีรายใดต้องการเข้าถึงสินเชื่อ ความช่วยเหลือต่างๆ ที่รัฐประกาศออกมา จะต้องเข้าร่วมเครือข่ายเอสเอ็มอีเครือข่ายหนึ่ง ที่ตอนนี้อดีตผู้บริหารหลายรายจัดแถวเข้าสู่การเมืองเต็มตัวแล้ว หากไม่เข้าร่วมโอกาสการเข้าถึงสิทธิประโยชน์สำหรับเอสเอ็มอีก็จะลดลง
ขณะเดียวกันยังมีหน่วยงานระดับกรมที่ดูแลเอสเอ็มอีที่ผู้บริหารรู้ช่องทางเติบโต ใช้อำนาจดึงเงินช่วยเหลือ พัฒนาเอสเอ็มอีมาไว้กับตัวเอง เพื่อให้ตัวเองมีอำนาจลงนามการใช้เงินทุกบาททุกสตางค์ ซึ่งผู้บริหารท่านนี้ รู้ดีว่าระดับบิ๊กต้องการอะไร อยากให้ใส่เงินหนุนเอสเอ็มอีกลุ่มไหนก็จะจัดให้โดยไม่ต้องขอแว่วว่าผลงานที่ทำอยู่อาจส่งถึงระดับปลัดกระทรวงทีเดียว
ผู้ประกอบการรายหนึ่งระบุว่า เครือข่ายเอสเอ็มอีนี้พยายามดึงผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าร่วมให้ได้มากที่สุด โดยระบุว่า หากเข้าร่วมในเครือข่ายจะได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ โดยเฉพาะสินเชื่อหลักหมื่นล้านที่รัฐบาลปล่อยกู้ผ่านธนาคารรัฐ พร้อมเงื่อนไขดอกเบี้ยต่ำ
ผู้ประกอบการรายนี้ยังชี้ช่องว่า หากพิจารณาจากความคืบหน้าการปล่อยกู้จากสินเชื่อดังกล่าว จะพบว่ามีแต่ข้อมูลระบุว่าสามารถปล่อยกู้ได้กี่ราย มูลค่าเท่าไร แต่ปริมาณการปล่อยกู้ที่เงินส่งถึงเอสเอ็มอีจริงๆ ค่อนข้างน้อย นั่นเพราะในภาพรวมสินเชื่อดังกล่าวยังกระจุกตัว เกาะกลุ่มในเอสเอ็มอีบางกลุ่มเท่านั้น
สอดรับกับข้อมูลที่ผู้เขียนเจอกับตัว เพราะเมื่อเร็วๆ นี้ได้รับสายจากเอสเอ็มอีร้องเรียนว่าต้องการกู้เงินจาก สินเชื่อเอสเอ็มอีที่รัฐบาลออกมา แต่ทำไมพอสอบถามแล้วกลับไม่ได้รับการตอบสนอง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโยนกันไปมา และยังตั้งคำถามว่า สรุปแล้วสินเชื่อเอสเอ็มอีใครเป็นผู้ดูแล?
น่าสนใจตรงที่ข่าวสินเชื่อเอสเอ็มอีมีการนำเสนออย่างต่อเนื่อง เอสเอ็มอีรับข้อมูลแต่เหตุใดยังเข้าไม่ถึง
หรือเครือข่ายเอสเอ็มอีเพื่อการเมืองจะมีอยู่จริง!!!
ปิยะวรรณ ผลเจริญ
