•…อาจจะเป็นเพราะ “บรรดาท่านผู้นำเกือบทุกคน” แทบทุกครั้งที่จับไมค์ให้นโยบายหน่วยงานที่อยู่ในความดูแล หรือ “ออกอากาศให้สาธารณะรับรู้ทิศทาง” จะโฟกัสไปที่ “ไทยแลนด์ 4.0” จึงทำให้ประเทศเหมือนถูกขับเคลื่อนไปความคิดใหม่ “ผ่านเลยการใช้แรงงานมุ่งสู่การคิดค้นระบบเพื่อใช้เทคโนโลยีด้านต่างๆ มาทำงานแทน” อย่างที่ล่าสุด “พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา” สรุปว่า “ใช้สมองแทนแรงงาน จึงจะทำให้ประเทศพัฒนาไปได้” แรงผลักของ “อำนาจ” ทำให้กลไกราชการโกลาหลไม่น้อยกับ “4.0” เป็นโกลาหลอันเกิดจาก “ความพยายามที่ควานหาความหมายให้นิยาม” เพื่อนำมา “ประดิษฐ์เป็นโครงการเสนอขอใช้งบประมาณ”
•…หากแต่ว่ามีที่บางคนชี้เป้าว่า “ไทยแลนด์ 4.0” ต้องจัดการให้ “สมองมีความรู้มากพอ และบรรยากาศทางความคิดปลอดโปร่งพอที่จะส่งเสริมจินตนาการสร้างสรรค์ ไม่ใช่นโยบายที่นำสู่การสะสมขี้เลื่อยในน้ำครำไว้เต็มกบาล” เป็นคำทักท้วงที่ “น่าจะต้องใส่ใจมากกว่าละเลย”
•…การเรียนรู้เทคโนโลยี ในระดับที่ “อยากให้มีพัฒนาของตัวเอง แทนการเลียนแบบ” จำเป็นยิ่งจะต้องสร้าง “เสรีภาพทางจินตนาการ” เครื่องมือของจินตนาการคือ “โอกาสในการแลกเปลี่ยน” ตัวทำลายร้ายแรงของความคิดสร้างสรรค์คือ “ความหวาดกลัว วิตกกังวล” ทว่าเสียงติงเตือนที่ว่าด้วย “การปิดกั้นการแสดงออก” สร้างบรรยากาศของการ “กดข่มเสรีภาพ” ที่ดังให้ขรมอยู่เวลานี้ กลับคล้ายกับสายลมที่พัดผ่านโดยไร้ความหมาย “ไม่มีใครสนใจแม้แต่จะเงี่ยหูฟัง”
•…อีกเรื่องที่น่าสนใจ “พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์” ที่ “สนช.” ยกมือพรึบโหวตเป็นเอกภาพ มีเสียงสะท้อนเป็นคำถามว่า “ท่าน สนช.ผู้ทรงเกียรติ” ที่ยกมือพรึบนั้น “รู้เรื่อง พ.ร.บ.ฉบับนี้แค่พอกระจ่างสักกี่คน” เมื่อเป็น “กฎหมายที่ส่งผลต่อโลกใหม่มากมาย” คำถามต่อเรื่องจึงเป็น “หากไม่รู้เรื่องแล้วโหวตผ่าน เป็นการทำหน้าที่อย่างมีความรับผิดชอบหรือไม่” เพียงได้แค่สงสัยว่า “จะถามไปทำไม ในเมื่อแทบจะเดาได้ว่าคำตอบไม่น่าจะเป็นความหวังให้ต้องทบทวนอะไร”
•…อีกประเด็นที่ได้จากการฟังเสียงสะท้อน “มันเป็นเรื่องประหลาดที่พูดเต็มปากเต็มคำว่ามุ่งมั่นใช้ประชาธิปไตยเป็นระบอบการบริหารประเทศ แต่กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเมืองทั้งหมดถูกเขียนขึ้นมาด้วยความคิดไม่ไว้วางใจประชาชน” เป็นคำถามที่ยังยืนอยู่กับ “ประชาธิปไตย” ในความหมาย “การปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน” ซึ่งอาจบางทีคนที่ถามเกิดความไม่เข้าใจว่า ความหมายของ “ประชาธิปไตย” ในความคิดของ “ผู้มีอำนาจ” ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคำนิยามที่ว่า
•…ความน่าสนใจอยู่ที่อาการ “จะเอาอย่างไรกันแน่” เช่นส่งเสริมให้ “เกิดพรรคเล็ก” หรือ “ให้บทบาทเต็มกับพรรคใหญ่” จะให้ “นายทุนทุ่มเทในการสร้างพรรค” หรือจะ “กันบทบาทไว้ให้ประชาชนทั่วไป” ที่ “ยิ่งเขียนก็ยิ่งสะท้อนความคิดสับสน” ซึ่งทั้งหมดทั้งสิ้นเกิดจาก “ความไม่ไว้วางใจการตัดสินใจของประชาชน” ดิ้นออกจาก “อยากให้ประชาชนเป็นผู้เลือก” แต่ขณะเดียวกัน “ต้องมีอำนาจโดยไม่ต้องลงเลือกตั้ง” การเลือกนับจากนี้ จึงน่าจะมี “เรื่องราวตลกโจ๊กเด็ด” มาเล่าให้กันฟังไม่รู้จบ
•…ฟังมาว่า “โรดแมป” คืน “การเลือกตั้ง” อาจจะต้องยืดเวลาออกไปอีกอย่างน้อย 5-6 เดือน ด้วยวาระที่ไม่เกี่ยวกับการเขียนกฎหมายลูกไม่ทัน แต่ว่ากันว่าเกิดจาก “ประเด็นสำคัญในกฎหมายแม่ที่อาจจะต้องปรับเปลี่ยน” อย่างไรก็ตาม “ผู้เชี่ยวชาญสถานการณ์การเมือง” สรุปว่าแม้จะได้ยืดเวลาการอยู่ในอำนาจต่อไป แต่เชื่อกันว่า “ความกังวลของผู้มีอำนาจ” อยู่ที่ “สภาวะเศรษฐกิจโดยเฉพาะระดับปากท้อง”
ชโลทร
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่