ที่มา | คอลัมน์ สุวรรณภูมิในอาเซียน |
---|---|
ผู้เขียน | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
เผยแพร่ |
อยุธยา ราชอาณาจักรสยามแห่งแรกของไทย มีพัฒนาการจากสองรัฐใหญ่หลายพันปีมาแล้ว ได้แก่ รัฐสุพรรณภูมิ (สุพรรณบุรี) กับรัฐละโว้ (ลพบุรี)
[สุโขทัยไม่ใช่ราชธานีแห่งแรก และอยุธยาไม่ใช่แห่งสอง ตามตำราของทางการ]
รัฐสุพรรณภูมิ เป็นที่รับรู้ทั่วไปสมัยหลังในอีกชื่อว่า สยาม (เอกสารจีนเรียก เสียน, เสียม) พูดภาษาไทย (สำเนียงลาว)
รัฐละโว้ เป็นที่รับรู้ทั่วไปในเอกสารไทยว่า ขอม พูดภาษเขมร
ยึดพื้นที่รอบอยุธยา
ก่อนสมัยอยุธยาหลายร้อยปี สยามกับละโว้ทยอยยึดพื้นที่คนละฟากแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณจะเป็นอยุธยาต่อไปข้างหน้า
สยาม อยู่ริมแม่น้ำฟากตะวันตก แล้วรับรู้สมัยหลังเรียก เวียงเหล็ก (เมืองปท่าคูจาม)
ละโว้ อยู่ริมแม่น้ำฟากตะวันออก เป็นที่รู้ทั่วไปสมัยหลังเรียก อโยธยา (ศรีรามเทพนคร)
สยามยึดอยุธยา
สยามแห่งรัฐสุพรรณภูมิกำจัดรัฐละโว้ แล้วยึดอยุธยาโดยการอุดหนุนของจีน นับแต่นี้ไปอยุธยาต้องส่งบรรณาการ “จิ้มก้อง” จีน
จีนควบคุมเส้นทางการค้าข้ามคาบสมุทร หลังสนับสนุนสยามยึดอยุธยา เพราะสยามมีอำนาจการเมืองระบบเครือญาติชาติภาษาไต-ไท ตั้งแต่รัฐสุโขทัย ถึงรัฐเพชรบุรี และรัฐนครศรีธรรมราช ซึ่งมีอำนาจเหนือเส้นทางข้ามคาบสมุทรสำคัญ ได้แก่
(1.) ช่องสิงขร ปัจจุบันอยู่ในพื้นที่ จ. ประจวบคีรีขันธ์ และ (2.) ด่านเจดีย์สามองค์ ปัจจุบันอยู่ในพื้นที่ จ. กาญจนบุรี
สยามยึดอยุธยาจากละโว้ มีพัฒนาการเป็นลำดับดังนี้
สถาปนากรุงศรีอยุธยา
1.สยามกับละโว้ ร่วมกันอีกครั้งหนึ่งเพื่อสถาปนากรุงศรีอยุธยา พ.ศ. 1893 (เคยสถาปนาร่วมกันมาก่อนแล้ว มีบอกในเอกสารจีน)
กษัตริย์อยุธยาที่สถาปนาใหม่ (สืบจากอโยธยาศรีรามเทพ) เชื้อวงศ์ละโว้ ทรงนามสมเด็จพระรามาธิบดี
เมื่อสิ้นรัชกาลทุกครั้งมักมีขัดแย้งช่วงชิงอำนาจระหว่างสยามกับละโว้
เจ้านครอินทร์จากสุพรรณไปจีน
2.พระบรมราชา (พะงั่ว) จากรัฐสุพรรณภูมิเสวยราชย์เป็นพระเจ้าแผ่นดินอยุธยา (สืบต่อจากพระรามาธิบดี) แล้วส่งโอรสสยามนามเจ้านครอินทร์ ไปเมืองจีน ขึ้นเฝ้าจักรพรรดิจีน เมื่อ พ.ศ. 1920
ครั้นสิ้นรัชกาลมีขัดแย้งทางการเมืองระหว่างละโว้กับสยาม
ยึดอยุธยา
3.พระรามราชา เชื้อสายรัฐละโว้ เสวยราชย์อยุธยา (ระหว่าง พ.ศ. 1938-1952)
ขัดแย้งรุนแรงกับเจ้านายขุนนางที่เป็นเชื้อสายรัฐสุพรรณภูมิ มีในพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐ สรุปดังนี้
ตอนแรก พระรามราชาสั่งให้จับกุมเจ้าเสนาบดี ที่รับราชการในราชสำนักอยุธยา
เจ้าเสนาบดีหนีรอดอยู่เมืองปท่าคูจาม (เวียงเหล็ก) ซึ่งเป็นขุมกำลังของสยาม
ตอนหลัง เจ้าเสนาบดีนัดหมายทางการเมืองกับเจ้านครอินทร์ สุพรรณภูมิ
เมื่อถึงกำหนด เจ้าเสนาบดียึดอยุธยาโดยยกกำลังผู้คนเมืองปท่าคูจามกับสุพรรณภูมิ แล้วเชิญเจ้านครอินทร์ขึ้นเสวยราชย์อยุธยา (นาม พระนครินทราธิราช) พ.ศ. 1952
ฝ่ายพระรามราชาเชื้อสายละโว้ ถูกกักขังไว้ในเมืองปท่าคูจาม (ขุมกำลังของสยามแห่งรัฐสุพรรณภูมิ)
เจ้าเสนาบดี น่าจะเป็นเจ้านายผู้ใหญ่ เชื้อสายสุพรรณภูมิ รับราชการในอยุธยา โดยมีอำนาจควบคุมขุมกำลังชาวสยามแห่งรัฐสุพรรณภูมิ อยู่เมืองปท่าคูจาม (ซึ่งเดิมเป็นเวียงเหล็กของพระเจ้าอู่ทอง) โดยรับอุดหนุนจากจีน
จีนสนับสนุน
4.จีนต้องการควบคุมและคุ้มครองบ้านเมืองแถบทะเลจีนใต้ โดยเฉพาะบริเวณคาบสมุทรมลายู
ก่อนสยามยึดอยุธยา พ.ศ. 1952 จีนส่งกองเรือจีนนำโดยแม่ทัพขันทีเจิ้งเหอ (หรือซำปอกง) ยกกองเรือท่องสมุทร (ครั้งที่ 3) ผ่านอ่าวไทย เท่ากับใช้กองเรือกดดัน
ซึ่งเท่ากับมีส่วนสนับสนุนการยึดอยุธยาของสยามแห่งรัฐสุพรรณภูมิ
[หลักฐานและคำอธิบายมีในหนังสือ 2 เล่ม ของ สืบแสง พรหมบุญ (1.) ความสัมพันธ์ในระบบบรรณาการ ระหว่างจีนกับไทย มูลนิธิโครงการตำราฯ พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2525 และ (2.) เจิ้งเหอ ซำปอกง อุษาคเนย์ สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรก เมษายน พ.ศ. 2549]
การแผ่อำนาจของจีนมีเสมอ ในลักษณะกดดันและใช้กำลังทหารจากกองเรือข่มขู่คุกคามบ้านเมืองที่อ่อนแอกว่า เพื่อได้สิ่งที่ต้องการ รวมทั้งมีเหตุการณ์อย่างนี้ในอยุธยาด้วย
เรือน พ.ศ. 1900 มีในเอกสารจีนว่าเจิ้งเหอ ออกคำสั่งให้รื้อถอนพระสถูปในอยุธยาอย่างน้อย 1 องค์ว่า “เป็นพระสถูปที่ปราศจากยอดและอยู่ทางเบื้องทิศตะวันตก โดยกล่าวว่าพวกชนป่าเถื่อน (ชาวอยุธยา) เหล่านี้สร้างพระสถูปจนสำเร็จอยู่ก่อน เจิ้งเหอได้บัญชาให้ปราบพระสถูปนี้จนราบเรียบ จนแม้ต่อมาจะมีความพยายามที่จะสร้างสถูปขึ้นอีก ก็ไม่สำเร็จอีกเลย”
[ดูในบทความเรื่อง “เจิ้งเหอกับการทูตแบบสันถวไมตรี หรือเพื่อกดขี่บีฑา” ของ เจฟ เวด (ทรงยศ แววหงษ์ แปลจากบทความภาษาอังกฤษ พิมพ์เป็นเอกสารประกอบสัมมนาวิชาการ จัดโดยมูลนิธิโครงการตำราฯ ร่วมกับมูลนิธิโตโยต้า เมื่อวันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548)]
เหตุการณ์ครั้งนี้เสมือนจีนได้สยามกับละไว้ในอำนาจโดยไม่ต้องยกทัพ
ตามนโยบายที่พบในเอกสารจีน ดังนี้
“(จักรพรรดิ) ทรงปรึกษาข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ หารือเรื่องการจัดทัพไปปราบเสียน (สยาม) หลอหู (ละโว้) หม่าปาเอ๋อร์ (เปโป้ยยี้) จี้หลัน (กู้น้ำ) และซูมู่ตาลา (สุมาตรา) แต่ขุนนางชื่อเจียหลู่น่าต๋าซือ กราบทูลว่า ‘อาณาจักรเหล่านั้นเป็นอาณาจักรเล็กที่ไม่มีความสำคัญอะไร แม้ว่า (จีน) จะได้ (อาณาจักรเหล่านั้น) มาเป็นเมืองขึ้น ก็หาประโยชน์มิได้ (นอกจากนั้น) การที่จะจัดทัพไปปราบอาณาจักรเหล่านั้น ยังเป็นการทำลายชีวิตประชาชนโดยใช่เหตุ ควรส่งทูตไปชี้แจงบาปบุญคุณโทษ (และ) ชักชวน (ให้อ่อนน้อม) จะเหมาะสมกว่า ถ้า (อาณาจักรเหล่านั้น) ไม่ยอมอ่อนน้อมก็ยังไม่สายเกินไปที่จะไปโจมตีได้’ จักรพรรดิทรงเห็นชอบด้วย และรับสั่งให้เอียลาเยหนูเตอมี่และคณะ จัดการส่งทูตตามข้อเสนอดังกล่าว (ปรากฏผลว่า) กว่า 20 อาณาจักรยอมนอบน้อม”
[จากหนังสือ ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-จีน พ.ศ. 1825-2395 (แปลจากเอกสารทางราชการของจีน) โดย คณะกรรมการสืบค้นประวัติศาสตร์ไทย เกี่ยวกับจีนในเอกสารภาษาจีน สำนักนายกรัฐมนตรี พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2523]
ประวัติศาสตร์แห่งชาติคลาดเคลื่อน
“สุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรกของไทย ส่วนอยุธยาเป็นราชธานีแห่งที่สอง มีขึ้นหลังการล่มสลายของสุโขทัย”
ที่ยกมานี้มีในประวัติศาสตร์แห่งชาติของไทย ตามแนวคิดยุคอาณานิคมเกี่ยวกับการเมืองการปกครองสมัยโบราณแบบ “อาณาจักร” โดยมีอำนาจรวมศูนย์อยู่แห่งเดียว แล้วแผ่อำนาจออกไปโดยรอบ
แต่ไม่เคยพบหลักฐานวิชาการรองรับทางประวัติศาสตร์โบราณคดี เพราะล้วนเสกสรรปั้นแต่งขึ้นเหมือน “นิยาย” สมัยใหม่
จีนโล้สำเภาคุมอ่าวไทย หนุนสยามสุพรรณ “ยึดอำนาจ” จากขอมละโว้ ล้วนมีเนื้อหาตรงข้ามกับประวัติศาสตร์แห่งชาติ อันเป็นรายงานข่าวอย่างง่ายๆ ตามอาชีพผู้สื่อข่าว (ไม่นักวิชาการ) ที่ผมได้จากงานวิชาการค้นคว้าวิจัยของนักปราชญ์ราชบัณฑิตและครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่หลายท่าน
แต่อาจไม่ถูกใจอาจารย์มหาวิทยาลัยบางท่าน จึงย่อมมีสิทธิ์เต็มพิกัดคัดค้านทักท้วงถกเถียงตำหนิติเตียนดุด่าว่ากล่าวได้ทุกแง่มุมตามสะดวก (ในทุกเรื่องที่ผมทำรายงานข่าว รวมถึงเรื่องก่อนๆ เช่น “ทวารวดี”) เพื่อความก้าวหน้างอกเงยอย่างงดงามทางวิชาความรู้ แล้วแบ่งปันไร้ขีดจำกัดสู่สาธารณะ