ที่มา | มติชนรายวันหน้า 18 |
---|---|
เผยแพร่ |
เพราะการส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ คือการลงทุนในทุนมนุษย์ ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นวิธีที่ง่ายและคุ้มทุนในการผลักดันไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
จึงสังเกตได้ว่าขณะนี้ทั่วโลกต่างรณรงค์การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่กันอย่างต่อเนื่อง ด้วยไม่เพียงแต่มีประโยชน์สำหรับลูกน้อยและคุณแม่เท่านั้น แต่ยังช่วยลดรายจ่ายอีกด้วย
เฉกเช่นที่ องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย ได้เปิดตัวแคมเปญ #ออฟฟิศนี้มีที่เพื่อแม่ พร้อมจัดเสวนาพิเศษ “มัม มีนส์ บิซิเนส” (Mom Means Business) เพื่อผลักดันให้เกิดการสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในที่ทำงาน และสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการจัดมุมนมแม่ให้กับพนักงานหญิงที่อยู่ในช่วงให้นม ให้สามารถจัดเก็บน้ำนมระหว่างวันเพื่อนำกลับไปให้ลูกกินที่บ้านได้ ณ โกลว์ฟิช เวิร์กสเปซ อาคารสาทรธานี 2
นายฮวน แซนแทนเดอร์ รองผู้แทนองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวว่า ด้วยสภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบันทำให้แม่ต้องออกไปทำงานนอกบ้านมากขึ้น ประกอบกับยูนิเซฟและองค์กรอนามัยโลกแนะนำให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพียงอย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรก และกินนมแม่ร่วมกับอาหารตามวัยต่อเนื่องจนถึง 2 ปี หรือนานกว่านั้น
แต่จากผลสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรี ในประเทศไทย พ.ศ.2558-2559 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า มีทารกเพียงร้อยละ 23.1 เท่านั้นที่ได้กินนมแม่ในช่วงหกเดือนแรก ซึ่งหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้แม่หยุดให้นมแก่ลูก คือต้องกลับไปทำงาน และในสถานที่ทำงานส่วนใหญ่ยังขาดนโยบายที่ชัดเจนและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เช่น “มุมนมแม่”
นอกจากนี้ยังพบว่ามีแม่เพียง 8 ใน 10 คนในประเทศไทยที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ซึ่งอยู่ในกลุ่มที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น
อย่างไรก็ตาม ยังมีองค์กรชั้นนำในประเทศไทยหลายแห่งที่มองเห็นถึงความสำคัญของ “การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่” จัดสรรพื้นที่สำหรับแม่ภายในออฟฟิศ
เริ่มที่บริษัทเครือข่ายมือถือ “ดีแทค” นาฏฤดี อาจหาญวงศ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.กลุ่มงานบริหารทรัพยากรบุคคล บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น กล่าวว่า เพราะบริษัทมองว่าพนักงานคือศูนย์กลางที่มีความสำคัญ เพราะฉะนั้นความต้องการของพนักงานจึงเป็นเรื่องที่ต้องเอาใจใส่
จากการสำรวจความต้องการของพนักงานที่ผ่านมาพบว่า พนักงานซึ่งเป็นคุณแม่มีความต้องการพื้นที่สำหรับจัดเก็บน้ำนมระหว่างวัน ทางบริษัทจึงจัดทำพื้นที่สำหรับกักเก็บน้ำนมที่เป็นส่วนตัวเป็นบริเวณถึง 2 ชั้นอาคารให้พนักงานได้เข้าใช้บริการ ตลอดจนมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกพร้อมใช้งาน
นอกจากนี้ นาฏฤดียังเผยอีกว่า ด้วยพนักงานของดีแทคทั่วประเทศร้อยละ 61 เป็นพนักงานหญิง บริษัทจึงออกนโยบายให้ลาคลอดได้สูงสุด 6 เดือน เพื่อให้พนักงานได้ใช้ช่วงเวลากับครอบครัวอย่างมีคุณภาพ และสามารถกลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เรียกว่าเป็น “ชีวิตการทำงานที่สมดุล”
ขณะที่ สิรินทรา มงคลนาวิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส บมจ.แสนสิริ กล่าวว่า แสนสิริให้ความสำคัญในเรื่องการพัฒนาเด็กซึ่งจะเติบโตไปเป็นอนาคตของสังคมและประเทศในอนาคต เพราะฉะนั้นการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ซึ่งส่งผลดีต่อเด็กโดยตรง ทางบริษัทจึงให้ความสำคัญ โดยเริ่มจากพนักงานของบริษัทซึ่งถือเป็นคนใกล้ตัวก่อนในอันดับแรก
“สิ่งสำคัญที่สุดคือการตระหนักในเรื่องเดียวกันของทุกคนในที่ทำงานและพร้อมสนับสนุนให้คุณแม่ได้ใช้ช่วงเวลาระหว่างวันไปกักเก็บน้ำนม โดยช่วงเวลาที่ดีที่สุดคือทุกๆ 3 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นหากทุกคนมีความเข้าใจตรงกัน คุณแม่ก็สามารถทำงานไปพร้อมกับกักเก็บน้ำนมได้อย่างสบายใจ” สิรินทรากล่าว
มุมนมแม่ในออฟฟิศของแสนสิรินั้นไม่ธรรมดา เพราะตกแต่งอย่างสวยงามและมีอุปกรณ์ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องปั๊มน้ำนม ซองเก็บน้ำนม และตู้เย็นควบคุมอุณหภูมิ
หลายคนอาจจะคิดว่าสร้างมุมนมแม่ไว้แล้ว จะมีพนักงานไปใช้งานจริงๆ หรือไม่
งานนี้ สิรินทราระบุเลยว่า พนักงานที่เป็นคุณแม่ทุกคนเข้าใช้งานจริง และจากนโยบายนี้สามารถรักษาพนักงานไว้ได้ถึงร้อยละ 99 ต่อปี เพราะได้รับกระแสตอบรับจากพนักงานดีมาก
อย่างไรก็ตาม การได้กินนมแม่คือการเริ่มต้นชีวิตที่ดีที่สุดของเด็ก เพราะนมแม่ปกป้องเด็กจากการเจ็บป่วย และยังช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางสติปัญญา ซึ่งมีผลต่อไอคิวของเด็กและความสามารถในการเรียนรู้เมื่อเติบโตขึ้น