ท่าทีล่าสุดจาก นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และคณะในฐานะเจ้าของ โครงการ “เดินคารวะแผ่นดิน” ของพรรครวมพลังประชาชาติไทยได้ กลายเป็น “จุดตัด” อย่างแหลมคมยิ่ง
เพราะบทสรุปจากปฏิบัติการ “คารวะแผ่นดิน” ได้เน้นประเด็น ในเรื่อง “เศรษฐกิจ” อย่างเข้มงวด จริงจัง
ใน กทม. เศรษฐกิจระดับ “ล่าง” ไม่ดี ค้าขาย ตกต่ำ
ในต่างจังหวัด ประสบปัญหาหนักกว่าคนกทม. “เรียกว่าสาหัส” เพราะคนส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรได้รับผลกระทบจากภาวะ พืชผลตกต่ำอย่างต่อเนื่องมาหลายปี
อาจมิได้เป็นเรื่องใหม่เพราะว่าไม่ว่า พรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ พรรคประชาธิปัตย์ ล้วนเคยสะท้อนมาอย่างต่อเนื่อง
แต่เมื่อออกจาก นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ย่อมสำคัญ
ความสำคัญ 1 เพราะว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และพรรครวมพลังประชาชาติไทย ถือได้ว่าอยู่ในเครือข่ายสำคัญของพรรคตระ กูล “พลัง”
เห็นชอบกับ “รัฐประหาร” สนับสนุน “คสช.” เห็นด้วยกับการสืบทอดอำนาจ
เมื่อชาวภาคใต้ประสบปัญหาราคาพืชเกษตรไม่ว่ายางพารา ไม่ว่าปาล์มน้ำมันตั้งแต่ปลายปี 2557 นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ เคยร้องขอมิให้เคลื่อนไหวบนเหตุผลที่ว่า
รัฐบาลคสช. เป็น “รัฐบาลของพวกเรา”
ความสำคัญ 1 คสช.และรัฐบาลป่าวร้องความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและถือว่าเป็นจุดแข็งของตน แม้การมอบให้ 4 รัฐมนตรีมาจัดตั้งพรรคพลังประชารัฐ
ก็ชูนโยบาย “ไทยนิยม” ประสานเข้ากับ “ประชารัฐ”
บทสรุปของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ จึงเท่ากับฟาดเข้าไปยังจุดแข็งนี้และสะท้อนให้เห็นว่าแท้จริงแล้วกลับเป็น “จุดอ่อน”
บทสรุป “เดินคารวะแผ่นดิน” จาก นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อาจดำ เนินไปในเชิง “ยุทธวิธี” แต่เมื่อเห็นว่าปัญหาเศรษฐกิจหนักหนาสา หัสจึงกลายเป็นปัญหาในเชิง “ยุทธศาสตร์”
เพราะผลสะเทือนไม่เพียงแต่จะมีต่อ 1 คสช. 1 รัฐบาล หากแต่ 1 ยังกระทบไปยังพรรคพลังประชารัฐ
เท่ากับแสดงให้เห็น “ความขัดแย้ง” ที่ดำรงอยู่ “ภายใน”
เท่ากับพรรครวมพลังประชาชาติไทยกระหน่ำโดยตรงไปยังพรรคพลังประชารัฐ
