ภาพเก่า..เล่าตำนาน : สนุก สุขใจในวันคริสต์มาส..ลากยาวถึงปีใหม่

คริสต์มาส ที่เพิ่งผ่านไปหยกๆ …มีที่มาที่ไปอย่างไร มีความหมายว่าอะไร ?…ลองมาคุยกันเรื่องเบาๆ นะครับ…

เพลงในช่วงเทศกาลคริสต์มาส ไพเราะเสนาะโสตในห้างสรรพสินค้า ทางวิทยุ โทรทัศน์และสื่อสังคมทั่วไป คนไทยใช้สื่อสังคมออนไลน์ส่งภาพอวยพรกันแบบอบอุ่น มีภาพของต้นสน มีหิมะ มีดวงไฟระยิบระยับ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับเทศกาลวันหยุดคริสต์มาส เป็นสีเขียวและสีแดง ลุงแก่ๆ หนวดเคราขาวโพลน ส่งยิ้มให้กับทุกคน

สังคมไทย “คุ้นชิน” และน้อมรับเทศกาลคริสต์มาสไว้ในอ้อมกอด เพราะ “มีสีสันและเป็นวันหยุดยาว” ร้านค้า ร้านอาหารตกแต่ง ประดับประดามากบ้างน้อยบ้าง สังคมไทยสนุกสนาน เฮฮาปาร์ตี้ในทุกเทศกาล ยินดีรับเชิญไปกิน ไปดื่ม ร้องรำทำเพลง ได้ทุกงาน ทุกศาสนาแบบเต็มใจในรูปแบบของ “กินฟรี มีเกียรติ”

ภาพเก่า..เล่าตำนาน ตอนนี้ ขอเฉไฉ เถลไถล ชวนคุยเรื่อง “คริสต์มาส” นะครับ

Advertisement

แท้ที่จริงแล้ว ..คริสต์มาส คือ การฉลองการกำเนิดของพระเยซู

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2493 โดยได้ให้คำอธิบายไว้ดังนี้ “วันสมภพของพระเยซู” และพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 คำอธิบายคงเหมือนเดิม เพียงแต่เพิ่มภาษาอังกฤษว่า “Christmas” เท่านั้น นอกจากนี้หนังสือพจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากลฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้เขียนคำอธิบายศัพท์ Christmas สาระสำคัญ มีดังนี้

Christmas คริสต์มาส : (ค.) วันฉลองวันประสูติของพระเยซูคริสต์ เพราะพระเป็นเจ้าทรงรักมนุษย์ทุกคนในโลก จึงทรงส่งพระเยซูคริสต์มา เพื่อเป็นพระผู้ไถ่มนุษย์ออกจากบาปและความพินาศตามที่พระเป็นเจ้าทรงสัญญาไว้กับกษัตริย์ดาวิด พระเยซูคริสต์จึงมาเกิดในตระกูลของกษัตริย์ดาวิด โดยมารีสาวพรหมจารีกับโยเซฟซึ่งเป็นคนในตระกูลของกษัตริย์ดาวิดซึ่งได้หมั้นกัน ทั้งสองได้รับแจ้งจากทูตสวรรค์ถึงพันธกิจนี้ พระผู้ไถ่มนุษย์จึงได้บังเกิดในครรภ์ของนางก่อนที่ทั้งสองจะได้เข้าพิธีสมรสกัน

Advertisement

บิชอป ฮิปโปลิตัส แห่งกรุงโรม ได้บันทึกเหตุการณ์จากหลักฐานประวัติศาสตร์และคัมภีร์ กำหนดว่า วันที่ 25 ธันวาคม คือ วันประสูติของพระเยซูคริสต์ การฉลองวันประสูติของพระเยซูคริสต์จึงได้เริ่มขึ้น จนกระทั่งกลางคริสต์ศตวรรษที่ 4 ได้ยอมรับกันเป็นเอกฉันท์ว่าวันประสูติของพระเยซูคริสต์เป็นวันที่ 25 ธันวาคม ซึ่งตรงกับวันที่ชาวโรมันฉลองวันสิ้นฤดูหนาว เพื่อก้าวเข้าสู่ชีวิตใหม่ในฤดูใบไม้ผลิ จึงเลือกวันนี้เป็นวันฉลองวันคริสต์มาส เพื่อก้าวออกจากชีวิตเก่าสู่ชีวิตใหม่ที่มีความหมาย ความหวังและความสุข…

อย่างไรก็ตาม ในพระคัมภีร์ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวัน-เดือน ปีอะไร ด้านนักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมันกำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยเทพ โดยตั้งแต่ปี พ.ศ.817 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์

แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์เกิดความอึดอัดใจ ไม่เต็มใจที่ร่วมจะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงปรับเปลี่ยนมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน

กล่าวโดยสรุป คือ วันที่ 25 ธันวาคม อาจจะไม่ตรงกับวันเกิดของพระเยซู เซอร์ไอแซค นิวตัน ราชบัณฑิตของอังกฤษ ให้ความเห็นว่า “เป็นวันที่ถูกเลือกเอาไว้เพื่อให้สอดคล้องกับเทศกาลโรมัน หรือสอดคล้องกับวันที่มีช่วงเวลากลางวันสั้นที่สุด (Winter solstice) ในย่านของชาวคริสเตียนนั้นจะมีการเฉลิมฉลอง จัดเทศกาลนี้ยาวนานถึง 12 วัน”

เรื่องหยุดงาน สนุกสนาน สังสรรค์ ร่าเริง กิน ดื่ม ร้องรำทำเพลง เป็นสิ่งที่มนุษย์ ปุถุชนทั่วไปแสวงหาและไม่ปฏิเสธ

คำอวยพรว่า Merry Christmas หรือ “สุขสันต์วันคริสต์มาส” คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุขและความสงบทางใจ จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรคนอื่น เป็นความปรารถนาดี ขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจครับ

บรรดา “เพลง” ที่ใช้เฉลิมฉลองคริสต์มาส มีทั้งจังหวะช้าและจังหวะสนุกสนาน ส่วนใหญ่แต่งในยุคพระราชินีวิกตอเรียแห่งอังกฤษ (พ.ศ.2383-พ.ศ. 2443) ปัจจุบันแพร่หลายไปทั่วโลกโดยแปลเป็นภาษาต่างๆ มากมาย

ส่วนคุณปู่ “ซานตาคลอส” แต่งชุดสีแดง หนวดยาว สวมหมวกทรงสูงสีแดงขลิบขาว ก็มีตำนานแสนหวาน…

ย้อนไปในสมัยศตวรรษที่ 4 นักบุญชื่อ เซนต์นิโคลัส ซานตาคลอส หรือ นักบุญนิโคลัส (Santa Claus หรือ Saint Nicholas) คือ นักบุญที่ถูกสร้างขึ้นมาจากจินตนาการของชาวคริสต์ โดยมีแรงบันดาลใจมาจากเซนต์นิโคลัส

ซานตาคลอสในความคิดของคนทั่วไปเป็นชายแก่รูปร่างอ้วนและดูใจดี เขามักใส่เสื้อโค้ด ที่ทำจากขนสัตว์สีแดงสดมีคลิบสีขาวที่เอวคาดเข็มขัดหนังและรองเท้าบูธสีดำ

มีเรื่องเล่าต่อกันมาว่า คืนวันหนึ่งในช่วงคริสต์มาส คุณลุงนิโคลัส แกปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่ง แล้วแกทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ

ถุงเงินหล่นลงไปในถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี นับแต่นั้นมา เรื่อง “ของขวัญ” และ “ซานตาคลอส” ในวันคริสต์มาส จึงเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในคืนวันที่ 25 ธันวาคม ของทุกปี

เด็กๆ ผู้ใหญ่ คนเฒ่าคนแก่ เพื่อนฝูง คนรัก นิยมที่จะมอบของขวัญให้แก่กันและกัน กลายเป็น “ค่านิยม” ของสังคมโลก

มีจินตนาการโบยบินเพิ่มเติมว่า ซานตา คลอส มีพาหนะเป็นเลื่อนที่เคลื่อนไปบนหิมะ ลากโดยกวาง เรนเดียร์ ซึ่งสามารถบินได้ ในกลางดึกวันคริสต์มาส

ตำนานเรื่องเล่าอันสดใสร่าเริงเกี่ยวกับคริสต์มาส ล้วนแต่ส่งผลในทางบวกต่อจิตใจของทุกคน มิได้ทำร้ายจิตใจมนุษย์ผู้ใด

เพื่อให้เด็กๆ มีจิตใจที่ดีงาม มีความรัก เมตตาต่อผู้อื่น ก็เสริมเติมกันว่า ลุงซานตาคลอสจะแอบเข้าไปใน “บ้านที่มีเด็กดี” เข้าทางปล่องไฟ เพื่อนำของขวัญไปใส่ในถุงเท้าที่แขวนรอไว้หน้าเตาผิง คำบอกเล่าต่อๆ กันมาเป็นตุเป็นตะเหล่านี้ ล้วนเป็นแรงบันดาลใจให้เด็กๆ ตั้งมั่นอยู่ในความดี มีศีลธรรม

ซานตาคลอสเลยกลายเป็นจุดเด่นหรือสัญลักษณ์แห่งความเมตตา น่ารัก ที่เด็กๆ นิยมมากที่สุด ในเทศกาลคริสต์มาส

บางตำนานกล่าวว่า แท้ที่จริงแล้ว ลุงซานตาคลอสแทบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเทศกาลนี้เลย แต่ก็ถือว่าแกไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ก็ปล่อยเลยเถิด เลยตามเลย ยิ้มไว้ ไม่ทุกข์ สนุกดี

“ต้นคริสต์มาส” หรือต้นสน ที่ชาวคริสต์นิยมนำมาประดับประดาด้วยดวงไฟกะพริบหลากสีสัน มีตำนานบอกต่อกันมาว่า เมื่อสมัยโบราณกาล ชาวอียิปต์นิยมที่จะวางต้นไม้สีเขียวไว้ประตูหน้าบ้านในช่วงวันที่ 21 หรือ 22 ธันวาคม เพราะจะเป็นวันเวลา ที่เปลี่ยนเข้าสู่หน้าหนาว กลางวันจะสั้นที่สุดและกลางคืนจะยาวที่สุด

การนำต้นไม้สีเขียวมาตั้งไว้หน้าบ้าน เพื่อส่งสัญญาณว่า การทำการเกษตรกรรม การเพาะปลูกพืชทั้งปวง ต้องยุติลงชั่วคราวเพราะอากาศจะหนาวจัด ต้นไม้สีเขียว คือ กำลังใจที่ส่งถึงพวกเราทุกคนว่า อีกไม่นานในไม่ช้า หน้าร้อนก็จะมาถึง เราจะเพาะปลูกกันได้อีกครั้ง

ในยุโรป นายมาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือน ธันวาคม ปี พ.ศ.2083 หลังจากนั้นมาต้นสนก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลคริสต์มาส ทำตามๆ กันมา

เมื่อใกล้ถึงเทศกาล ต้นสนจริง ต้นสนปลอม จะถูกนำไปไว้ในบ้าน มีการสร้างต้นสนเทียมขนาดมหึมา ตามห้างสรรพสินค้า ตามจัตุรัสในมหานครต่างๆ ทั่วโลกแล้วจัดพิธีเปิดไฟ ถือว่า เริ่มต้นเทศกาล ต้นสนจึงเป็นอีก 1 องค์ประกอบของคริสต์มาส

เรื่องของ “วันหยุดยาวคริสต์มาส” เป็นเทศกาลที่ชาวคริสต์ใฝ่ฝันและรอคอย สำหรับชาวยุโรป อเมริกัน และชาวคริสต์ทั่วโลก วันหยุดช่วงนี้ “มันคือวันหยุดที่แท้จริง” โรงเรียน มหาวิทยาลัย ราชการหยุดพักผ่อนนานอย่างน้อย 2 สัปดาห์นะครับ

สมัยที่ผมศึกษาในโรงเรียนเสนาธิการทหารบกสหรัฐ อเมริกา ฟอร์ตเลฟเวนเวิรธ์ รัฐแคนซัส ในปี พ.ศ.2532-2533 จำได้ว่าได้หยุดเรียน 3 สัปดาห์เต็มเหยียด อาจารย์จะไม่ให้การบ้าน ทั้งอาจารย์และนักเรียน ที่ต้องการไปเที่ยวเล่น พักผ่อนก็ไม่ต้องกังวลใดๆ เปิดเรียนมาแล้วจะไม่มีสอบวิชาอะไรทั้งนั้น

ทุกชีวิตต้องการความสุขสำราญ ขอทำในสิ่งที่ตัวเองปรารถนา ต้องการ “อิสระเสรี” ที่จะไปเที่ยว จะทำ-ไม่ทำ จะกิน จะดื่ม ตามสัญชาตญาณของมนุษย์

ลักษณะนิสัยของชาวตะวันตก (ฝรั่ง) ที่ดีงามคือ วันหยุด คือหยุด แต่ใครมีหน้าที่เวรยาม หมอ พยาบาล ขับรถ ขับเครื่องบิน ฯลฯ ก็ต้องทำหน้าที่ตามที่กำหนด ใครทำงานในวันหยุดช่วงนี้ ก็จะต้องได้รับค่าตอบแทนแบบทวีคูณ ตรงไปตรงมา

วันทำงานต้องทำงาน วันหยุดคือ หยุด ทำตรงไปตรงมาแค่นี้ประเทศชาติ สังคมไทยก็เจริญพุ่งเป็นจรวดแล้ว

ในช่วงวันหยุดยาวคริสต์มาสในยุโรป อเมริกา จะเป็นห้วงเวลาที่สับสนอลหม่านและเป็นฤดูหนาว บางที่มีหิมะ บางที่ก็ไม่มี การจราจรทางอากาศ รถยนต์ รถไฟ ฯลฯ จะแน่นขนัด อุบัติเหตุเกิดขึ้นไม่น้อย หิมะ พายุหิมะ ถนนหนทางยั้วเยี้ยคลาคล่ำด้วยรถยนต์

ทุกคนเรียกร้อง ความสนุก สุขใจ ใช้เงิน เดินทาง ดื่ม กิน เที่ยว เล่น มนุษย์บางจำพวก สนุกเลยเถิดหลุดโลก ตายด้วยอุบัติเหตุก็มากโข

สิ่งที่เป็น “ความสนุกต่อเนื่อง” จากคริสต์มาส คือ จะเกิดอาการ เรื่อยเปื่อยเฉื่อยแฉะ สะวิงกิ้งลากยาวไปถึง “เทศกาลปีวันหยุดใหม่” แบบอัตโนมัติ เมื่อเอา 2 เทศกาลมาบวกกัน เลยทำให้คริสต์มาสมีความหมายยิ่งนัก

แม้ว่าวันคริสต์มาสจะเป็นเทศกาลของชาวคริสต์ แต่ในหมู่คนไทยทั้งหลายที่มิใช่ชาวคริสต์ ก็ไม่ลังเลใจที่จะเข้าสมัครใจ ร่วมงานอันเป็นมงคล จะอวยพรกะเค้า Merry Christmas ส่งข้อความ ส่งภาพไป-มา ด้วยความเต็มตื้น รู้เพียงว่ากำลังมีความสุข โดยไม่จำเป็นต้องรู้ว่า คริสต์มาส คืออะไร

สำคัญที่สุด คือ เราจะขอผสมโรง เฉลิมฉลองกันอย่างสนุกสนาน งานเลี้ยงก็ไปได้ ของขวัญก็ยินดีรับ เพื่อแสดงความรักพวกพ้อง แถมบางแห่งยังทำบุญเลี้ยงพระสงฆ์กันอีก เพื่อให้บุญอัดแน่น เป็นคุณแก่ตนเอง

การมอบของขวัญและการเฉลิมฉลองจะส่งผลบวกต่อระบบเศรษฐกิจ การใช้จ่ายจะแพร่สะพัด ทั้งในเมืองของชาวคริสต์ และที่ไม่ใช่ชาวคริสต์ โรงแรม ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า จะถือโอกาสกระหน่ำลดราคาสินค้า เทศกาลนี้ คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ

ในหลายประเทศ ยอดจำหน่ายสินค้าของร้านค้าปลีกจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และร้านค้าเหล่านั้นก็จะออกสินค้าใหม่ๆ มาในช่วงที่ผู้คนหาซื้อของขวัญ เครื่องประดับบ้านเรือนต่างๆ และอาหาร

สังคมอเมริกัน “จัดหนัก” เพื่อการจับจ่ายใช้สอยให้เงินสะพัด

ในอเมริกาจะจัด เทศกาลซื้อของวันคริสต์มาส ในวัน Black Friday คือวันหลังจากวันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving Day) ร้านค้าส่วนใหญ่ในอเมริกาจะเริ่มขายของเกี่ยวกับวันคริสต์มาสตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม

เรื่องเทศกาลคริสต์มาส เรื่องวันหยุด เรื่องการจับจ่ายใช้สอย เรื่องการเดินทาง การใช้เงิน เป็นเรื่องที่ยึดโยงเกี่ยวเนื่องกันหมด แต่ก็มิใช่จะทำได้ราบรื่นกันทุกสังคม เพราะในบางประเทศเศรษฐกิจหงอยเหงา ประชากรก็ไม่มีเงินจะมาจับจ่ายใช้สอย ก็ต้องเจียมตัว เจียมตน

ชาวคริสต์บางส่วนขอไปโบสถ์เพื่อแสดงความศรัทธา และประกอบพิธีกรรม

เหตุการณ์ที่แสนจะเหลือเชื่อในเทศกาลคริสต์มาส ที่ขอนำมาบอกกล่าวต่อท่านผู้อ่านที่เคารพ แถมท้ายครับ…

เหตุการณ์นี้เรียกกันว่า Christmas Truce คือ พักรบชั่วคราว ในระหว่างสงคราม

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ครับ

วันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ.2457 มีการประกาศพักรบกันชั่วคราว ระหว่างทหารเยอรมัน และทหารอังกฤษ

ทหารของ 2 ฝ่ายที่กำลังวางกำลังเผชิญหน้ากัน อ่อนล้า จากสงครามหฤโหด ที่ยืดเยื้อ ยาวนาน ทหารทั้ง 2 ฝ่าย ต้องการฉลองคริสต์มาสอีฟ (Christmas Eve : คืนก่อนวันคริสต์มาส)

ทหารเยอรมันได้เริ่มเป็นฝ่ายเจรจาหยุดยิงก่อน โดยได้ส่งสัญญาณถึงทหารอังกฤษว่าให้หยุดรบกันซักพักนึง แล้วเอาเวลาไปฉลองคริสต์มาสกัน

ทหารอังกฤษตอบกลับไปว่า “ถ้าฝั่งคุณหยุดยิง ฝั่งเราก็จะไม่โต้ตอบ” ทั้ง 2 ฝ่ายเจรจา วัดใจกันอยู่พักใหญ่ ฝ่ายอังกฤษยังระแวง กลัวเป็นเรื่องตุกติก หักหลัง แต่เมื่อทหารเยอรมันจำนวนหนึ่งเดินเข้าไปหา แสดงตัวโดยไม่มีอาวุธ พูดจาเข้าใจตรงกัน การสู้รบในช่วงนั้นจึงถูกพักไว้เป็นการชั่วคราว

มีการกำหนด “พื้นที่สำหรับพักรบ” เรียกว่า No Man’s Land ใช้เป็นพื้นที่สังสรรค์กันทั้งสองฝ่าย

ทหาร 3 ฝ่าย ตกลงกันว่าจะไม่มีการสู้รบกันอย่างเด็ดขาดและที่ทำให้กลายเป็นประวัติศาสตร์โลก คือ การเตะฟุตบอลในเขต No Man’s Land

ทหารทั้ง 2 ฝ่ายต่างก็นับถือพระเจ้าองค์เดียวกัน และที่สำคัญ คือ เป็นชนชาติที่คลั่งไคล้กีฬาฟุตบอลด้วยกันทั้งคู่ เลยถือโอกาสเอาวันคริสต์มาสมาเป็นหมุดหมายร่วม

นี่เป็นเรื่องจริงนะครับ ผู้เขียนเข้าใจถึงอารมณ์และความรู้สึกของทหารที่เบื่อหน่าย มุดอยู่ใน สนามเพลาะ “บังเกอร์” ที่หนาวจัด ชื้นแฉะนานนับเดือน มีศพเพื่อนทหารที่เสียชีวิตเกลื่อนสนามรบ ทหาร อยากจะระเบิดพลังงานออกมา ยืดแข้งยืดขา อยากโดนแสงแดด

มีข้อมูลว่า นักฟุตบอลทั้ง 2 ฝ่ายในสนาม มีจำนวนนับไม่ถ้วน สรวลเสเฮฮา เพราะใครๆ ก็อยากสนุกสนาน ร่าเริง กิน ดื่ม ร้องเพลง ในเทศกาลคริสต์มาส เสร็จแล้วยังช่วยกันฝังศพทหารที่ถูกทิ้งเกลื่อนสนามรบแบบมีไมตรีต่อกัน

รุ่งเช้าของวันคริสต์มาส 25 ธันวาคม ทหารเยอรมันหลายนายข้ามเข้ามาในเขตฉนวนปลอดทหาร และตะโกนว่า “Merry Christmas”

ประสบการณ์ตอนหนึ่งของผู้เขียนในขณะรับราชการในกองทัพ เคยได้เห็นจดหมายจากสถานทูตหลายประเทศในกรุงเทพฯ แจ้งมาทางเอกสารว่า

“สถานทูตจะงดรับและงดส่งเอกสาร งดการติดต่อกิจการทั้งปวง เพื่อพักผ่อนนาน 1 เดือน กลางเดือนธันวาคม-กลางเดือนมกราคม”

ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติวิสัยของประเทศเหล่านั้น แต่ในทางปฏิบัติก็จะมีเจ้าหน้าที่เวร ดูแลอาคารสถานที่ แต่จะไม่ขอรับเอกสาร ไม่ตอบโต้เอกสาร ไม่รับโทรศัพท์ใดๆ

เมื่อไม่คนที่จะติดต่อด้วย ทำเอาฝ่ายเราก็ไม่ต้องติดต่อ แปลว่าถ้าเอ็งหยุดงาน ข้าก็จะขอหยุดงานด้วย

สังคมมนุษย์ ตั้งกติกาขึ้นมากันเองเก่าแก่ยาวนาน นับพันปี เพื่อความสุข สนุกสนานในชีวิต

ขอส่งกำลังใจมายัง ทหาร ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ในป่าเขา ลำเนาไพร หมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่กู้ภัย ผู้บังคับอากาศยาน คนขับรถ ขับเรือ ฯลฯ ขอชื่นชมท่านในความเสียสละทั้งปวง และขอให้ทุกท่านปลอดภัยในช่วงวันหยุดยาวขึ้นปีใหม่…

สุขสันต์วันคริสต์มาสและสุขสันต์วันขึ้นปีใหม่ครับ

พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก
———————————–
http://www.history.com/this-day-in-history/the-christmas-truce

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image