| ผู้เขียน | สุรพล สุประดิษฐ์ ณ อยุธยา |
|---|
จะมีการทบทวนทุกปี สำหรับอัตราค่าแรงขั้นต่ำมีคณะกรรมการไตรภาคี มีผู้ทำงานจากหลายภาคส่วนทั้งผู้ใช้แรงงาน รัฐ และเอกชน เป็นผู้พิจารณา
การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ จะต้องพิจารณาหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ทั้งค่าครองชีพ อัตราเงินเฟ้อ
ในส่วนของผู้ใช้แรงงานก็อยากจะให้ปรับขึ้นในระดับสูง แต่ทางฝ่ายนายจ้างมองว่าจะทำให้ต้นทุนการประกอบธุรกิจสูงขึ้น
ดังนั้น จึงต้องมีคณะกรรมการที่เรียกกันว่า บอร์ดค่าจ้าง เป็นผู้พิจารณาตามความเหมาะสม ตามข้อตกลงของทุกฝ่าย
ที่ผ่านมามีการเจรจากันในเบื้องต้นแล้ว คาดกันว่าอัตราค่าแรงขั้นต่ำ จะประกาศบังคับใช้ทั่วประเทศภายในวันที่ 1 เมษายนนี้
ทางฝ่ายลูกจ้างต้องการ ให้ปรับค่าแรงขั้นต่ำอยู่ที่ 360 บาท และหวังว่าจะเป็รอัตราเดียวกันทั่วประเทศ
เพราะมองว่าขณะนี้ค่าครองชีพสูงมาก และทุกจังหวัดแตกต่างกันน้อยมาก
แต่ตัวเลขดังกล่าว ทางฝ่ายนายจ้างกลับมองว่าคงเป็นไปได้ยาก และอาจจะทำให้เกิดปัญหาตามมาได้
ดังนั้นจึงมีการตกลงในเบื้องต้นไว้ว่า จะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในอัตรา 2-10 บาท
ดูเหมือนว่าเป็นตัวเลขที่น้อยนิดมาก เมื่อเทียบกับสภาพค่าครองชีพในปัจจุบัน
แม้กระนั้นฝ่ายนายจ้างก็ยังมองว่า ภาพรวมเศรษฐกิจยังไม่แข็งแรง
หากสามารถชะลอการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มได้ก็จะเป็นผลดีต่อภาคเอกชน
นอกจากนี้ การปรับขึ้นค่าจ้าง จะส่งผลดีต่อแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในไทยมากกว่า จะได้ค่าแรงเพิ่มและเก็บเงินส่งกลับประเทศตนเองได้เพิ่ม
การปรับขึ้นอัตราค่าจ้างจะส่งผลกระทบแน่นอนกับภาคการเกษตร ใช้แรงงานค่อนข้างมาก และปัจจุบันราคาสินค้าเกษตรไม่ได้ดีมากนัก แต่กลับมีต้นทุนเพิ่มขึ้น
รวมถึงภาคอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบจากการแข่งขันกับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจีนมีราคาต่ำกว่าไทยมาก และยังมีภาระต้นทุนด้านแรงงานสูงขึ้นด้วย
ส่วนนักวิชาการมองว่าการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำปัจจุบันอิงกับอัตราเงินเฟ้อ คงจะไม่เหมาะสมกับสภาพปัจจุบันแล้ว
เพราะอัตราเงินเฟ้อของไทยแทบไม่ขยับขึ้น เป็นผลมาจากการค้าออนไลน์และการเริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ
แต่ค่าครองชีพ เป็นสิ่งที่ประชาชนเผชิญสูงกว่าตัวเลขเงินเฟ้อมาก ตามสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลง
ดังนั้น เราควรจะปรับวิธีคิดเรื่องนี้ เพื่อสะท้อนค่าครองชีพที่แท้จริงกันดีหรือไม่
แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าค่าจ้างจะปรับขึ้นเท่าไหร่ เมื่อมีข่าวนี้ออกมา บรรดาพ่อค้าบางคน แอบขยับราคาสินค้าขึ้นไปรอล่วงหน้าแล้ว
จึงเป็นหน้าที่ของหน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์จะต้องควบคุมเอาไว้ให้ได้
อย่าให้เกิดปัญหาซ้ำซาก มักจะมีพ่อค้าคอยฉวยโอกาสเช่นนี้ทุกครั้งที่มีข่าวปรับค่าจ้าง
สุดท้ายแล้วคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือผู้บริโภคประชาชนผู้มีรายได้น้อย
จะถูกผลักภาระต้นทุนที่สูงขึ้นมาให้ โดยไม่สามารถปฏิเสธใดๆ ได้
