สปสช.ชวน 7กลุ่มเสี่ยง “ไข้หวัดใหญ่” ฉีดวัคซีนป้องกันฟรี! เริ่มทั่วปท. 1 มิ.ย.-31 ส.ค.นี้

แฟ้มภาพ

วันที่ 26 พฤษภาคม นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่า ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคระบาดประจำปีที่เกิดจากเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา (influenza virus) ผู้ป่วยจะมีอาการเล็กน้อยถึงรุนแรง สำหรับสถานการณ์โรคในปีนี้ยังมีแนวโน้มแพร่ระบาดมาก ตั้งแต่ต้นปีถึงเดือนพฤษภาคม มีรายงานผู้ป่วยแล้วกว่า 1.5 แสนราย ในจำนวนนี้มีเสียชีวิต นับเป็นการระบาดที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง และสูงกว่าช่วงเดียวกันของปี 2560-2561 ประมาณ 3-5 เท่า

“คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ได้บรรจุวัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลเป็นสิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อฉีดให้กับประชาชน 7 กลุ่มเสี่ยงทั่วประเทศเป็นประจำทุกปีอย่างต่อเนื่อง และในปีนี้ บอร์ด สปสช.ได้อนุมัติให้จัดเตรียมวัคซีนไข้หวัดใหญ่เพิ่มขึ้นเป็น 4 ล้านโดส เพิ่มเติมจากปี 2561 ที่จัดเตรียม 3.5 ล้านโดส โดยร่วมกับกรมควบคุมโรค สธ. และหน่วยบริการทั่วประเทศ ฉีดวัคซีนฟรีให้ครอบคลุมประชาชนกลุ่มเสี่ยง ตั้งแต่วันที่ 1 มิภถุนายน ถึง วันที่ 31 สิงหาคม 2562 หรือจนกว่าวัคซีนจะหมด” นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวและว่า วัคซีนที่ สปสช.จัดเตรียมนี้ เป็นไปตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติกำหนด โดยเป็นวัคซีนผลิตจากเชื้อตาย 3 สายพันธุ์ ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก มีการระบาดมากในประเทศไทยและทั่วโลก ประกอบด้วย ไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด A (H1N1) เป็นสายพันธุ์เดิมมิชิแกน, ชนิด A (H3N2) มีการเปลี่ยนแปลงจากปีที่แล้ว จากสายพันธุ์สิงคโปร์ เป็นสายพันธุ์สวิสเซอร์แลนด์ ใกล้เคียงกับสายพันธุ์ที่ระบาดในประเทศไทยถึงร้อยละ 87.50 และไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด B มีการเปลี่ยนแปลงจากสายพันธุ์ ยามากะตะ/ภูเก็ต เป็นสายพันธุ์ วิกตอร์เรีย/โคโรลาโด เป็นสายพันธุ์ที่พบร้อยละ 95.14 ในกลุ่มผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B ในประเทศไทย

เลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า สำหรับหญิงตั้งครรภ์ เมื่ออายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป สปสช.ได้จัดเตรียมวัคซีนไว้สำหรับทุกคน และไม่จำเป็นว่าต้องรับการฉีดในช่วงรณรงค์เท่านั้น แต่สามารถขอรับการฉีดวัคซีนได้ตลอดทั้งปี ทั้งนี้ ไข้หวัดใหญ่มีระยะฟักตัวสั้นมาก ดังนั้นร่างกายจึงจำเป็นต้องมีระดับแอนติบอดี้สูงอยู่ตลอดเวลา เพื่อป้องกันการติดโรค จึงต้องมีการฉีดวัคซีนทุกปีเพื่อกระตุ้นให้มีระดับภูมิต้านทานอยู่ตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม วัคซีนมีผลช่วยป้องกันโรคได้ร้อยละ 60-70 เท่านั้น ดังนั้น การทำร่างกายให้แข็งแรงด้วยการออกกำลังกาย กินอาหารมีประโยชน์ และล้างมือให้สะอาด ยังเป็นมาตรการที่จำเป็นที่ต้องทำควบคู่กันไป

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image