รู้จัก ‘บาป 7 ประการ’ ของมหาตมะ คานธี ที่ ‘อภิสิทธิ์’ กล่าวแถลงลาออก
จากการแถลงข่าวลาออกจากการเป็น ส.ส. ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตอนหนึ่ง ซึ่งได้อ้างอึงหลักการหนึ่งที่ทำให้ตัดสินใจดังกล่าว
“มหาตมะ คานธี ส่งจดหมายให้กับหลาน ระบุถึงบาป 7 ประการในสังคม หนึ่งในนั้นคือการเมืองที่ปราศจากหลักการ ผมไม่สามารถทำบาปนั้นได้ ผมจึงจำเป็นต้องตัดสินใจลาออกจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” นายอภิสิทธิ์กล่าว
อนึ่ง มหาตมา คานธี ได้เขียนหนังสือชื่อว่า The Story of My Experiments with Truth เนื้อความส่วนหนึ่งระบุถึง ‘บาป 7 ประการ’ ในทรรศนะของเขา ซึ่งภายหลังมีการแปลเป็นภาษาไทย ในชื่อหนังสือ “ข้าพเจ้าทดลองความจริง” โดยเรืองอุไร กุศลาศัย แปลไว้ว่า
1.เล่นการเมืองโดยไม่มีหลักการ (Politics without principles)
การเล่นการเมืองที่ทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง โดยไม่คำนึงถึงประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ หรือไม่ยึดหลักการของเสียงส่วนใหญ่ แต่มองว่าเสียงส่วนน้อยสำคัญกว่าเสียงส่วนใหญ่ การเล่นการเมืองมีลักษณะส่งเสริมการรัฐประหาร แต่ไม่ส่งเสริมการปกครองแบบประชาธิปไตย รวมถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เอื้อประโยชน์เฉพาะกลุ่มบางคน
2.หาความสุขสำราญโดยไม่ยั้งคิด (Pleasure without conscience)
ผู้ปกครองหรือนักการเมืองมุ่งเสพสุข หลงใหลอำนาจอิทธิพลเพื่อสร้างความเกรงกลัว โกงเงินจากประชาชนโดยวิธีที่แยบยลทำให้ราษฎรไม่ได้รับผลประโยชน์จากผู้ปกครอง หรือคนมีอำนาจ เพราะโกงกินจากงบประมาณไปจนหมด แถมยังสร้างภาระหนี้สินฝากความทรงจำแก่ราษฎรด้วย
3.ร่ำรวยเป็นอกนิษฐ์โดยไม่ต้องทำงาน (Wealth without work)
ความร่ำรวยที่ไม่สุจริต ไม่ใช้ฝีมือหรือทักษะในการทำงานหาเงิน แต่หาเงินด้วยวิธีง่ายๆ คือการทำสิ่งผิดกฎหมาย เช่น ค้ายาเสพติดการรีดไถเงินจากประชาชน การใช้อิทธิพลซ่อนเร้นแสวงหาผลประโยชน์ในทางมิชอบ ฯลฯ
4.มีความรู้มหาศาลแต่ความประพฤติไม่ดี (Knowledge without character)
ระบบการศึกษาอาจไม่สามารถสอนคนให้เป็นคนดีได้ เพราะการศึกษาส่วนใหญ่เน้นแต่การทำหากิน แต่ไม่เน้นการทำประโยชน์สังคม ทำให้คนมีความรู้มุ่งแต่หาเงิน จนไม่มีเวลาสนใจปัญหาของสังคม ซึ่งเรื่องนี้ยังเป็นปัญหาน้อยไม่เท่ากับคนที่มีความรู้ แต่อาศัยความรู้ทำสิ่งไม่ดี เช่น การคดโกงการเอาเปรียบสังคมการใช้อำนาจที่ไม่สร้างสรรค์ ฯลฯ หรือมีความรู้แต่ไม่ช่วยเหลือประชาชนผู้ด้อยโอกาสกว่า
5.ค้าขายโดยไม่มีหลักศีลหลักธรรม (Commerce without morality)
เอาเปรียบแรงงาน พอขึ้นค่าจ้างก็โอดครวญ แต่ตัวเองร่ำรวยมหาศาลมีบ้านใหญ่โต, มีรถหลายคันจากการเอาเปรียบแรงงานมามากไม่ได้นึกถึงความถูกต้อง แทนที่จะเสียสละเพื่อสร้างคนงานให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีการเป็นเศรษฐีแบบนี้นับวันสังคมก็จะดูแคลน และไม่ให้ความเคารพนับถือหากเป็นคนที่ไม่นึกถึงประชาชนที่ลำบากยากจน
6.วิทยาศาสตร์เลิศล้ำแต่ไม่มีธรรมแห่งมนุษย์ (Science without humanity)
7.บูชาสูงสุดแต่ไม่มีความเสียสละ (Worship without sacrifice)
บูชาพระบูชาเทพเจ้า แต่ไม่มีธรรมะในใจ ไม่มีความเสียสละ จึงทำให้สังคมเดือดร้อนเพราะความหลงใหลไปในทางที่ผิด หลงผิดบูชาไสยศาสตร์เพื่อเป็นที่พึ่ง แต่ความเสียสละจะหมายถึงการยินยอมให้โอกาสเพื่อนมนุษย์ได้รับสิ่งดีสูงสุด ซึ่งเป็นวิธีแบบประชาธิปไตย