แต่ก่อนคนเราอาจยึดถือสัจจะ ไม่ต้องอาศัยสัญญาที่เป็นลายลักษณ์อักษรก็เชื่อได้ว่า พูดจริง ทำตรง ไม่บิดเบี้ยว และ “ไม่บิดเบือน”
“การสงคราม” ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพียงการเอาชัยชนะโดยไม่ต้องคำนึงถึงวิธีการเป็น “ต้นธาร” ของกลยุทธ์ทำลายล้าง
จากกลยุทธ์สงครามสู่กลยุทธ์การค้า จากความตรงไปตรงมาสู่ความมากเล่ห์เพทุบาย
โฆษณาชวนเชื่อกลายเป็นเครื่องมือสำคัญ
ข่าวปลอม ข่าวหลอก ข่าวเท็จ หรือที่เรียกว่า “เฟคนิวส์” รวมไปถึงการให้ข้อมูลบิดเบือน จงใจใส่ร้ายป้ายสี ทำลายให้เสียหายทำให้ผู้คนเกลียดชัง หรือที่เรียกว่า “เฮทสปีช” ตลอดจนการใช้กฎหมายอาวุธกำจัดฝ่ายตรงข้ามกลายเป็น “ความปกติ” ในสังคมที่วิปริต
ในสังคมที่ความเจริญทางปัญญาต่ำ ถึงแม้ความเป็นรัฐบาลจะเป็นภาวะชั่วครู่ยาม แต่ก็มักทำให้ผู้ที่อยู่ในอำนาจเคลิ้มหลงและไม่อยากลง ทำให้เมื่อมีใครต่อต้านก็จะถูกตีความว่าเป็น “ภัยความมั่นคงของรัฐ”
ไม่ใช่ภัยความมั่นคงของรัฐบาล
นั่นเรียกว่า ข้อมูลที่บิดเบี้ยว ใช้วาทกรรมให้ร้ายผู้ที่ไม่เห็นด้วย ใส่ร้ายป้ายสีคนที่วิพากษ์วิจารณ์หรือต่อต้านจนกลายเป็น “ภัยความมั่นคงของรัฐ”
การชุมนุมของ “นปช.” ในปี 2553 ก็ตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น
จากข้อเรียกร้องพื้นๆ คือ ให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ยุบสภา แล้วจัดเลือกตั้งใหม่ แทบไม่น่าเชื่อว่า จะนำไปสู่การใช้กำลังทหารนับหมื่นติดอาวุธสงครามครบมือ แล้วประกาศ “เขตใช้กระสุนจริง”
จากยุทธวิธี “เขตใช้กระสุนจริง” พัฒนาไปสู่ข้อกล่าวหาต่อบรรดาแกนนำว่า “ก่อการร้าย” ไปจนถึง
“ล้มเจ้า”
ผู้ชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลประกาศยุบสภากลายเป็นพวกมั่วสุม กระด้างกระเดื่อง ขู่เข็ญรัฐบาล ก่อความปั่นป่วนวุ่นวาย ส่วนแกนนำกลายเป็น “ผู้ก่อการร้าย”
อุบายทำลายในสงครามย่อมมุ่งบดขยี้คู่ต่อสู้ให้ราบคาบ
ฝ่ายรัฐบาลต้องการ “ความมีประสิทธิผล” ในบัดเดี๋ยวนั้น
ขณะที่ “แกนนำ” ผู้ชุมนุมยินยอมเจรจากับรัฐบาลโดยไม่มีเงื่อนไข ในคืนวันที่ 18 พฤษภาคม 2553 ทหารก็เคลื่อนกำลังปิดล้อมพื้นที่ชุมนุม
แล้วก็ลงมือโจมตีอย่างเต็มรูปแบบในวันที่ 19 พฤษภามหาโหด !
เป็นการสลายการชุมนุมทางการเมืองที่ “ช็อกโลก”
ใช้กำลังทหารถึง 67,000 นาย ใช้กระสุนจริงกว่า 110,000 นัด กระสุนสไนเปอร์อีกกว่า 2,000 นัด !?!!