โจรบุกปล้นเครื่องประดับจากศตวรรษที่ 18 อันประเมินค่ามิได้จากพิพิธภัณฑ์ประจำเมืองเดรสเดินในเยอรมนี เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น นับเป็นการจารกรรมเครื่องประดับครั้งใหญ่ซึ่งทำให้คนเยอรมนีทั้งชาติถึงกับช็อก
กลุ่มหัวขโมยได้บุกเข้าไปยังห้องสีเขียว ซึ่งเป็นที่เก็บสิ่งของมีค่า อาทิ งาช้าง ทอง เครื่องเงิน และเครื่องประดับกว่า 4,000 รายการ ในพระราชวังประจำเมืองเดรสเดินในช่วงเช้าของวันดังกล่าว หลังจากได้ตัดไฟเพื่อทำให้ระบบเตือนภัยไม่ทำงาน
ขโมยได้จุดไฟเผาแผงควบคุมไฟฟ้าใกล้กับพิพิธภัณฑ์ในช่วงเช้าของวันที่ 25 พฤศจิกายน เพื่อทำให้ระบบเตือนภัยไม่ทำงานรวมถึงไฟฟ้าตามท้องถนนดับ อย่างไรก็ดีแม้ไฟจะถูกตัด แต่กล้องวงจรปิดยังคงทำงาน และสามารถจับภาพชายสองคนที่บุกเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ได้
ภาพจากกล้องวงจรปิดแสดงให้เห็นว่าชายคนหนึ่งที่ถือไฟฉายได้ใช้ขวานพังตู้จัดแสดง ก่อนที่จะขโมยสิ่งของมีค่าออกไป โดยปฏิบัติการทั้งหมดใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น ตำรวจได้ไปถึงที่เกิดเหตุในเวลาเพียง 5 นาทีให้หลัง แต่หัวขโมยก็ได้หลบหนีออกไปแล้ว
รายงานข่าวระบุว่าผู้ต้องหาหลบหนีไปด้วยรถเอาดี้ เอ6 และกำลังถูกตำรวจตามล่าตัว โดยตำรวจระบุว่าพบรถคันดังกล่าวถูกเผาอยู่ในอีกจุดหนึ่งของเมือง ซึ่งขณะนี้รถได้ถูกนำไปตรวจสอบเพื่อหาร่องรอยของเบาะแสที่อาจจะสามารถนำไปสู่การจับกุมคนร้ายได้
ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์เดรสเดินชี้ว่า เครื่องประดับที่ถูกจารกรรมมีทั้งหมด 3 ชุดจากที่นำออกจัดแสดงทั้งหมด 10 ชุด แต่มีรายงานว่าเครื่องประดับที่ถูกขโมยอาจมากถึงรวมเกือบ 100 ชิ้น ซึ่งมีทั้งเพชร ทับทิม มรกต และเซฟไฟร์ ที่ถือว่าประเมินค่ามิได้ทั้งในแง่ประวัติศาสตร์ศิลปะและประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรม
ด้านหนังสือพิมพ์เยอรมนีชี้ว่าการจารกรรมเครื่องเพชรดังกล่าวอาจเป็นการโจรกรรมงานที่มีคุณค่าทางศิลปะครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งนับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และว่ามูลค่าของสิ่งที่ถูกขโมยไปอาจสูงถึง 1,000 ล้านยูโร หรือราว 33,300 ล้านบาท