วุฒิสาร เผย แก้รธน.ต้องไม่เป็นชนวนขัดแย้งรอบใหม่ ชี้ เสียงส.ว.สำคัญ ต้องรับฟัง

“วุฒิสาร” เผย แนวทางแก้รธน.ต้องเกิดประโยชน์กับสังคม- ไม่เป็นชนวนความขัดแย้งรอบใหม่ ชี้ หัวใจสำคัญต้องฟังเสียงทุกฝ่าย ยอมรับเงื่อนไขแก้รธน.ยากขึ้น

เมื่อวันที่ 6 มกราคม ที่สถาบันพระปกเกล้า นายวุฒิสาร ตันไชย เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ในฐานะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงความคืบหน้าการประชุมของกรรมาธิการวิสามัญศึกษาฯ ว่า การประชุมครั้งต่อไปจะเป็นในวันที่ 14 มกราคมและวันที่ 17 มกราคม โดยการประชุมจะเปิดกว้างให้ทุกคนได้แสดงความรู้สึก ความเห็น มองปัญหารัฐธรรมนูญเป็นอย่างไร รวมถึงจุดยืนอยากให้มีการแก้ไข หรือปรับปรุงเรื่องอะไร แม้ในกรอบจะเขียนว่าเป็นการศึกษาวิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ในทางปฏิบัติจริง ต้องพูดถึงสาระ ถ้าไม่พูดถึงสาระก็จะทำได้ยาก แต่ส่วนตัวเห็นว่าแนวทางการแก้ไข ต้องวางหลักว่าทำแล้วต้องเกิดประโยชน์มากขึ้นกับสังคม ที่สำคัญคือไม่ก่อความขัดแย้งใหม่ ไม่ก่อความเห็นที่แตกต่างจนเกิดวาทกรรมในสังคม กลายเป็นชนวนความขัดแย้งรอบใหม่

นายวุฒิสาร กล่าวว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญมีสิทธิที่จะแก้ได้อยู่แล้ว แต่ต้องยอมรับว่าเงื่อนไขในรัฐธรรมนูญฉบับนี้อาจจะทำได้ยากขึ้น ซึ่งกระแสในขณะนี้มีสองส่วนคือ ต้องการแก้ไขเพื่อร่างใหม่ และต้องการแก้ในสาระที่เป็นปัญหาเชิงประจักษ์จากรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับประธานกรรมาธิการฯจะนำการประชุมไปอย่างไร แต่หัวใจสำคัญจำเป็นต้องรับฟังความเห็นทุกฝ่าย ทุกคนต้องไม่อยู่ในฐานะรักษาเป้าหมายของตัวเอง แต่ต้องมองถึงจุดที่เป็นปัญหาร่วมกันที่จะทำให้รัฐธรรมนูญดีขึ้น เช่นระบบเลือกตั้งที่เป็นปัญหา ทั้งกระบวนการนับคะแนน และวิธีการต่างๆ ให้ถูกต้องเหมาะสม ไม่เป็นที่สงสัย

นายวุฒิสาร กล่าวถึงประเด็นจะต้องมีการทำประชามติก่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ว่า ขึ้นอยู่กับมาตรา 256 ที่บัญญัติว่าแก้บางเรื่องต้องทำประชามติ เช่นแก้เรื่องการแก้ไขวิธีแก้ไข แก้เรื่องที่มา อำนาจหน้าที่ขององค์กรอิสระ แต่เงื่อนไขของการแก้รัฐธรรมนูญมีการเพิ่มเติมความเห็นของสมาชิกวุฒิสภา 1 ใน 3 ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณา เพราะไม่ใช่เรื่องของเสียงข้างมากโดยประมาณ แต่เป็นเสียงข้างมากของสองสภา ดังนั้น การรับฟังความเห็นของวุฒิสภาก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะการลงมติจะต้องมีความเห็นของ ส.ว. ด้วย ซึ่งกรรมาธิการมีหน้าที่เสนอวิธีให้สภาพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป

Advertisement

ส่วนประเด็นหากไม่เริ่มต้นแก้ที่มาตรา 256 เนื่องจากมีบางประเด็นที่ไม่ต้องทำประชามติ นายวุฒิสารกล่าวว่า สามารถทำได้ ถ้าจะแก้ 256 ข้อเสนอแบบร่างใหม่ทั้งฉบับ หรือคงจะบางหมวด เช่นการที่ระบุจะมี สสร. ก็ต้องแก้มาตรา 256 และต้องทำประชามติ แต่หากแก้บางประเด็นที่เป็นปัญหาที่ปรากฎชัดแล้วในการดำเนินตามรัฐธรรมนูญในการเลือกตั้งที่ผ่านมา เช่น การนับคะแนน คะแนนจะเป็นอย่างไร เรื่องนี้ถ้ากรรมาธิการฯอยากจะให้แก้ ก็สามารถเสนอให้ดำเนินการได้เลย โดยไม่ต้องไปแก้มาตรา 256 และไม่จำเป็นต้องไปทำประชามติ อย่างไรก็ตามก็ต้องใช้เสียง ส.ว. 1 ใน 3 หรือ 84 คนเห็นชอบ ดังนั้นกระบวนการทุกอย่างต้องหารือกัน และต้องเป็นการทำงานที่เป็นข้อตกลงร่วม จึงจะดำเนินการได้

“กรรมาธิการวิสามัญฯ คงตัดสินไม่ได้ว่าให้แก้อะไร คิดว่าเป็นทางเลือก ถ้าจะแก้ ที่จะมีข้อเสนอที่แก้เพื่อทำให้กติกา ให้ทุกคนรู้สึกว่าเป็นกติกาที่สากล และเป็นกติกาที่ทุกคนยอมรับ ทุกพรรคการเมืองยอมรับก็แก้ได้เลย แต่ก็ขึ้นอยู่กับสภาผู้แทนราษฎรและก็ขึ้นอยู่กับวุฒิสภาด้วย เพราะอย่างไรก็ต้องเข้าสู่รัฐสภา ผมคิดว่าทั้งหมดนี้ มันเป็นความเห็นส่วนตัว ต้องไปคุยกับทั้ง 49 ท่าน ว่าอะไรที่เป็นข้อตกลงร่วม แต่จุดยืนที่สำคัญมาก ข้อเสนอใดๆต้องไม่ทำให้เกิดความขัดแย้งใหม่ ต้องไม่ทำให้สังคมมีปัญหาแล้วกลายเป็นการตั้งป้อม และวิวาทะทางการเมืองอีก เราควรกลับมามองหาทางออกที่จะทำให้บ้านเมืองเดินได้ ประชาธิปไตยเดินได้ หลายเรื่องต้องตรวจสอบทางวิชาการถึงความเหมาะสม ”นายวุฒิสาร กล่าว

ส่วนเสียงสะท้อน ส.ว. ที่ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขโดยเฉพาะประเด็นที่มาของ ส.ว. และในบทเฉพาะกาลนั้น นายวุฒิสาร กล่าวว่า ต้องขึ้นอยู่กับแต่ละฝ่าย ต้องเข้าใจว่าทุกคนที่มานั่งกรรมาธิการฯ มีจุด หรือ สถานะของตัวเอง เช่น จากพรรคการเมือง ดังนั้น ข้อเสนอที่พูดกับประชาชนข้อเสนอที่พูดไว้ในทางการเมือง หรือสาธารณะ เป็นเรื่องที่ต้องเสนอ แต่ในข้อยุติมันไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างนั้น เพราะขึ้นอยู่กับว่าข้อเสนอเหล่านั้นเป็นไปได้จริงหรือไม่ ถ้าต้องการให้เกิดความเป็นไปได้ เราต้องชนะทุกอย่างไม่ได้ ชนะทุกอย่างไม่ได้ ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะต้องการเปลี่ยนแปลงมากน้อยแค่ไหน ดังนั้น จะต้องรอ เพราะกรรมาธิการประชุมครั้งแรกครั้งเดียว ต้องรอหลังได้ฟังความเห็นของทุกฝ่าย น่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น ส่วนที่มาของ ส.ว. โดยระบบปกติที่ทดลอง 50 คน ก็พอจะประเมินได้ว่าวิธีการนี้ เหมาะสม ทำได้จริงหรือไม่จริงอย่างไร ก็มีข้อมูลเชิงประจักษ์ สำหรับครั้งต่อไป เรื่องของการจะไปแก้บทเฉพาะกาล ผมคิดว่าทุกคนน่าจะเข้าใจกันได้ว่าทำได้ไม่ได้ง่าย โดยตนมองว่าควรจะแก้เพื่ออนาคต แต่ถ้าแก้เพื่อปัญหาปัจจุบัน ทำได้ยาก

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image