คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ในสังคมแห่งการบูลลี่นั้นมีในทุกพื้นที่ ไม่เว้นแม้กระทั่งพื้นที่โรงเรียนซึ่งเป็นสถาบันที่สำคัญเป็นอันดับที่ 2 ในชีวิตของเยาวชนที่จะเติบโตเป็นประชากรของโลก และเมื่อวันเวลาผ่านไปผสมผสานกับการเติบโตของสังคมโลกโซเชี่ยล ส่งผลร้ายให้เห็นไม่ได้หยุด และยิ่งเทคโนโลยีพัฒนา จนใครๆ ก็สามารถสื่อสารกันได้ โซเชียลบูลลี่ก็ยิ่งเติบโตแบบเห็นๆ ซึ่งเรื่องนี้นักแสดงสาว ปันปัน-สุทัตตา อุดมศิลป์ ที่มาร่วมงานเปิดตัวโครงการนักเรียนก้าวทันยุติการรังแกในโรงเรียนและโซเชี่ยลมีเดีย ก็ขอพูดถึงเรื่องราวของตัวเองว่า เธอโดนกลั่นแกล้งจากรั้วโรงเรียนเช่นกัน เนื่องจากเป็นประสบการณ์ตรงที่ตนเคยโดนกลั่นแกล้ง 1 ปีเต็มที่ย้ายโรงเรียนไปเป็นเด็กนานาชาติ
“เราย้ายไปเจอเพื่อนใหม่ แล้วด้วยเป็นวัฒนธรรมที่เราไม่คุ้นเคย ยังปรับตัวไม่ได้ มันเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ”
” กลายเป็นว่า จากที่เราพูดภาษาไทยกับเพื่อนทุกวัน เราก็ไม่ได้พูด เพราะว่าเราไปเจอเด็กไทยที่พูดภาษาอังกฤษกันเอง แล้วพอเราพูดภาษาอังกฤษไม่เป็น เราก็พูดกับใครไม่ได้ ก็มีเพื่อนพูดว่าเด็กใหม่คนนี้เข้ากับคนอื่นไม่ได้ พูดอังกฤษไม่ได้ เราก็จะโดนเพื่อนๆ ที่เป็นหัวโจกย์ เริ่มจิกกัด แบ่งแยก เขียนเฟซบุ๊กถึงเรา แล้วเราก็กลายเป็นใบ้เลย”
แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปตนก็จับกลุ่มกับเพื่อนใหม่ที่มีนิสัยคล้ายกัน และเมื่อสังคมโรงเรียนผ่านพ้นไป ปันปันก็เจอกับสังคมบูลลี่ที่ใหญ่ และโหดร้ายกว่าเดิมแบบประเมินค่าไม่ได้ เมื่อเธอพัวพันข่าวใหญ่ในวัย 16 ปี
” อายุ 16 โดนคนทั้งประเทศด่า มันเป็นเรื่องที่เรายังไม่เข้าใจ ทั้งคอมเมนต์ 2-3หมื่น มาด่าเราในพื้นที่ส่วนตัวของเรา เราก็แอบ ตกใจ พ่อแม่ ก็บอกว่าไม่ให้เราอ่าน เพราะอ่านแล้วบั่นทอนจิตใจ”
” เขาด่าถึงปู่ย่าตายาย พ่อแม่เรา ซึ่งเราอยากบอกว่า เวลาที่คนมาด่าเราอะ นึกถึงจิตใจ คนอื่นเขาบ้าง คนที่โดนด่า มันช็อกมากนะ มันไปในโลกโซเชี่ยลเลย”
แต่สุดท้ายแม้ว่าจะถูกบูลลี่ขนาดไหน ตนก็ต้องปาดน้ำตาแล้วก้าวต่อไปเพื่อมีชีวิตต่อให้ได้ในโลกของความเป็นจริง กับความคิดที่เฝ้าปลอบตัวเองว่า ที่ถูกด่าเพราะยังไม่มีใครรู้จักตัวตนของตนที่แท้จริง
” สิ่งที่อยากฝากคือ มันก็เป็นธรรมดาของมนุษย์นะคะ ที่เราจะทำตามกระแส แต่โซเชี่ยลเป็นดาบสองคมมากๆ”
” ที่ปัญหาตรงที่ทุกคนสามารถออกความคิดเห็นได้โดยที่ไม่ต้องคัดกรองเลย ” กลายเป็นการที่สามารถตำหนิ วิจารณ์ ผู้คนที่ไม่รู้จักกัน สามารถโพสต์ว่าใครด้วยคำพูดที่รุนแรง นั้นสามารถทำได้อย่างเสรีและไม่มีความเกรงใจ ทั้งที่ความจริงแล้วเป็นเรื่องที่ผิดทั้งมารยาท และผิดทั้งกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เรื่องดังกล่าวจะถูกรณรงค์เป็นวงกว้างนั้น การเป็นผู้ไม่เริ่มบูลลี่ใคร ไม่ตลกขบขัน กับเรื่องดังกล่าว และการใส่ใจคนรอบข้าง รวมถึงการเคารพตัวเอง คือสิ่งที่อยากให้เกิดกับทุกบุคคล
” เพราะว่าเดี๋ยวนี้โลกโซเชี่ยลมีเดีย มันเป็นโลกมายาประมาณหนึ่ง เราไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เราเห็นในหน้าจอ เป็นเรื่องจริงหรือว่าเรื่องโกหก เราสร้างขึ้นมา หรืออะไรก็ตาม แล้วคนเรามันไม่มีสิทธิ์จะไปว่ากันขนาดนั้น ถ้าเราโดนว่าขนาดนี้เราจะรู้สึกอย่างไร”
ขณะที่ พรีน – รวิสรารัตน์ พิบูลภานุวัธน แม้จะไม่เคยเจอปัญหาบูลลี่ในวัยเรียน แต่ประสบการณ์ในวัยทำงานของเธอที่ถูกวิจารณ์เรื่องรูปร่างหน้าตาขณะที่เป็นผู้เข้าประกวดเดอะสตาร์ 12 เมื่อ 2559 ก็ทำให้จิตใจเธออ่อนไหวไปพักใหญ่
” การที่เราเป็นผู้หญิงที่อ้วน แล้วอยู่ในพื้นที่สื่อ มันก็ถูกโจมตีได้อย่างง่ายดาย”
“คนดูเราตอนเราประกวดแล้วไม่ชอบเรา เขาก็ไปตั้งกระทู้ ว่าทำไมเราต้องทำแบบนี้น่ารำคาญ สวยก็ไม่สวย เขาไม่ฟังที่เราร้องเพลงเลย ” แต่สุดท้ายเธอจึงแก้ไขที่ตัวเองด้วยการยอมรับในสิ่งที่เป็น เพราะเธอแก้ไขกรรมพันธ์ทางรูปร่างที่ส่งต่อมากันรุ่นสู่รุ่นในครอบครัวไม่ได้อยู่แล้ว ทุกวันนี้เธอจึงดูแลตัวเองทั้งร่างกายและจิตใจ และหมั่นเติมทัศนคติให้ตัวเองเสมอว่า สิ่งที่สำคัญคือการเคารพความแตกต่าง
” เพราะเมื่อไรที่เคารพว่าความแตกต่างเป็นเรื่องธรรมดา และทุกคนไม่เหมือนเรา เราไม่เหมือนเขา เราจะเคารพคนอื่นที่ไม่เหมือนเรา แล้วเราจะเคารพตัวเองที่ไม่เหมือนใคร แล้วอันนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เราเข้าใจ และมองโลกในรูปแบบที่เปลี่ยนไป”
” เราจะไม่ว่าใคร เราจะไม่ตัดสินใคร เราจะไม่ตัดสินคนที่รูปลักษณ์ภายนอก อย่าด่วนตัดสินใคร อย่าด่วนว่าเขา เราต้องเข้าใจว่าเราโตมาไม่เหมือนกัน แตกต่างกัน อันนี้สำคัญที่สุด ”
พรีนกล่าวว่าเธอมองว่ามนุษย์ที่อยู่ร่วมกันบนโลกนั่นเปรียบเสมือนตะกร้าที่ความแตกต่างที่ลงตัว
” ร่วมกันแล้วสวยงาม นี่คือใจความของสิ่งที่ทุกคนเข้าใจแล้วมันก็ลดบูลลี่ได้ แตกต่างกันก็สวยงามกันไปอีกแบบ ”