Band of Brothers ‘พี่ป้อม-น้องตู่’ยังร้องเพลงเดียวกัน ทัพไทยระส่ำ เสือข้ามห้วย

พล.ท.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์

Band of Brothers ‘พี่ป้อม-น้องตู่’ยังร้องเพลงเดียวกัน ทัพไทยระส่ำ เสือข้ามห้วย กับ’บิ๊กปุย-บิ๊กต๊อก-บิ๊กกบ’ เมื่อฟ้าลิขิตชีวิต ‘บิ๊กเข้’จับตา’บิ๊ก ต.ติ่ง’ ทหารเสือ’พลสอง’

ย่อมเป็นธรรมดา ที่ “เสือ 2 ตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้” จึงทำให้มีการจับตามองว่า 2 พยัคฆ์จากแดนบูรพา อย่าง 2 พี่น้อง บิ๊กตู่กับบิ๊กป้อม จะอยู่ด้วยกันไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่

เพราะแม้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้เป็นน้อง จะเป็นนายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ผู้มีอำนาจสูงสุด แถมมีมาตรา 44 ในมือ

แต่ทว่าก็ไม่อาจขาดบารมีที่แฝงอำนาจของบิ๊กป้อม พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ผู้เป็นพี่ใหญ่ ทั้งในสายบูรพาพยัคฆ์ และทหารเสือราชินี

ว่ากันว่า ถ้ามีแต่ พลเอกประยุทธ์ การรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ก็อาจจะไม่เกิดขึ้น แต่เพราะว่า นี่มีพลเอกประวิตร พี่ใหญ่ และเสริมด้วยบิ๊กป๊อก พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา พี่รอง จึงทำให้มีวันนี้

Advertisement

แต่เสียงซุบซิบ เรื่องรอยร้าวในใจของพี่ป้อมกับน้องตู่ ก็มีออกมาเป็นระยะๆ เพื่อให้ฝ่ายต่อต้าน คสช.ได้ลุ้น

เพราะฝ่ายตรงข้ามรู้ดีว่า ในสถานการณ์ที่ขั้วอำนาจแข็งแกร่งเช่นนี้ แถมเป็นหนึ่งเดียวกับกองทัพ ย่อมไม่มีอะไรมาล้มล้าง คสช.ได้ นอกจากพวกเดียวกันเอง

การจับคู่เสี้ยม ระหว่างบิ๊กตู่กับบิ๊กป้อม ก็จึงเกิดขึ้นเสมอๆ

Advertisement

อย่างในระยะหลังๆ นี้ พลเอกประวิตรและพลเอกประยุทธ์ มักจะแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อในประเด็นต่างๆ แบบที่เรียกว่า ไปคนละทาง

ทั้งท่าทีรอมชอมที่มีต่อคุณหญิงหน่อย สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ โดยบิ๊กป้อมไม่ได้ห้าม ในการที่จะนัดพบปะนักการเมืองเพื่อช่วยหาทางออกประเทศ แต่ขอแค่ว่าอย่าทำผิดกฎหมาย

ขณะที่ พลเอกประยุทธ์ ไม่ต้องการให้มีการพบปะกัน เพราะรู้ว่าปกติก็เจอกันเงียบๆ อยู่แล้ว

“หากจะคุยกัน ไว้ผมจะเป็นคนนัดเอง แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา” พลเอกประยุทธ์ เปรยแนวคิดปรองดองที่วางแผนไว้

แต่เบื้องต้น ขอแค่นักการเมืองไปเจรจากับพวกคนที่ทำผิดให้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเสียก่อน ก็ถือว่าช่วยชาติได้แล้ว

ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะ “ลูกเกรงใจ” เนื่องจากพลเอกประวิตรรู้จักกับคุณหญิงสุดารัตน์มานาน แม้จะออกตัวว่าไม่ได้สนิทสนมใกล้ชิดก็ตาม

อีกทั้งต้องไม่ลืมว่า พลเอกประวิตรมักถูกพาดพิงเสมอว่ามีการตั้งก๊วนกับนักการเมืองและนายทุน เพื่อเตรียมตั้งพรรคการเมือง ทั้งพรรค คสช. พรรคทหาร หรือจะหนุนหลังพรรคนอมินีทหาร

หรือแม้แต่ข่าว ปฏิบัติการปรองดองแบบเงียบๆ ของพลเอกประวิตร ที่มีทีมงานส่วนตัวพยายามเจรจากับแกนนำพรรคและกลุ่มต่างๆ จนทำให้มีข่าวออกมาเสมอๆ ถึงรัฐบาลปรองดองฯ และนายกฯคนนอกที่มีชื่อของ พลเอกประยุทธ์และพลเอกประวิตร ออกมาเสมอๆ

โดยเฉพาะการที่พลเอกประวิตรมีสายสัมพันธ์กับหลายขั้วการเมือง แม้แต่ในพรรคเพื่อไทยเอง หรือคนใกล้ชิดอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร เพราะต้องไม่ลืมว่าสายสัมพันธ์เหล่านั้นมีส่วนทำให้พลเอกประวิตรได้เป็น ผบ.ทบ. ในยุคชินวัตร

แม้แต่ความสัมพันธ์กับคุณหญิงอ้อ พจมาน ดามาพงศ์ จนเคยมีข่าวออกมาว่าคุณหญิงอ้ออาจมากุมบังเหียนพรรคเพื่อไทย แบบเปิดตัว และเป็นตัวเลือกนายกรัฐมนตรีคนหนึ่ง

แน่นอนว่า กระแสข่าวเหล่านี้ พลเอกประยุทธ์ก็คงต้องจับตามอง แต่ก็เชื่อว่าพี่ชายไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ หรือว่าอาจจะเตรียมการไว้เพื่อน้องชายหรือไม่

จนอาจทำให้เกิดความหวาดระแวงกันเองเกิดขึ้น ว่าใครไปเคลื่อนไหวในทางการเมืองหรือไม่ อย่างไร

แต่พลเอกประวิตรก็ออกมาปฏิเสธเสียงแข็งทุกครั้ง

“อายุปูนนี้แล้ว หมดงาน คสช.นี้ก็ไม่เอาแล้ว ไม่ตั้งพรรค ไม่เล่นการเมือง อยากพักผ่อนแล้ว รู้ตัวว่าร่างกายไปไม่ไหวแล้ว” พลเอกประวิตรยืนกราน

จึงไม่แปลกที่ก่อนหน้านี้จะมีข่าว พลเอกประวิตรถอดใจ อยากจะลาออกเพราะเรื่องอายุและสุขภาพ

รวมถึงความคิดเห็นในหลายเรื่องไม่ตรงกับพลเอกประยุทธ์ จนทำให้เกิดการ “เบรก” ข้อเสนอ หรือแนวคิดของบิ๊กป้อมอยู่เนืองๆ ทั้งแบบเปิดเผยและแบบเงียบๆ

โดยเฉพาะการที่ พลเอกประยุทธ์ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของพลเอกประวิตร ที่ให้ขึ้นแบล๊กลิสต์วัยรุ่นที่ทะเลาะวิวาทเพื่อให้เป็นทหารเกณฑ์ เมื่ออายุถึงเกณฑ์ แบบไม่ต้องจับใบดำใบแดงเลย

ด้วยเพราะเกรงว่าจะทำให้ภาพพจน์ของทหารเกณฑ์เสียหาย หากเอาคนไม่ดีมาอยู่ แถมหวั่นจะทิ้งเพื่อนเมื่ออยู่ในสนามรบ

ทั้งๆ ที่แนวคิดนี้ได้รับการขานรับอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อเกณฑ์ทหารแล้วให้ส่งลงไปที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

จนถูกมองว่าเป็นความขัดแย้งระหว่างบิ๊กตู่และบิ๊กป้อม หรือไม่

“ไม่มี ไม่ได้ขัดแย้ง แค่คิดกันคนละทาง” บิ๊กป้อมสยบข่าว

แต่เพราะตนเองมองว่า หากเอาเด็กวัยรุ่นเหล่านี้มาฝึกทหาร จะสามารถฝึกให้เป็นคนดีได้

“ไม่เป็นไร คิดหาวิธีใหม่ อาจจะให้เอามาฝึกมาอยู่ในค่ายทหารสัก 3-5 เดือน” บิ๊กป้อมเผย

แต่แน่นอนว่า ผู้คนก็ย่อมแปลกใจว่าทำไม 2 พี่น้อง ไม่คุย ไม่นัดแนะกันก่อนที่จะพูดออกสื่อมาแล้วไปคนละทาง

“ไม่เคยคุยกับนายกฯเลยว่าวันนี้จะพูด จะให้สัมภาษณ์เรื่องอะไร จะต้องพูดยังไง ไม่มี แต่เจอกันคุยกันทุกวัน ไม่มีวันไหนที่ไม่ได้คุยกันเลย แต่ส่วนใหญ่จะคุยแต่เรื่องงาน ประเด็นต่างๆ ไม่ได้คุยเรื่องการออกสื่อ” พลเอกประวิตรแจง

พร้อมยืนยันว่า ไม่มีทางที่ตนเองกับพลเอกประยุทธ์ จะขัดแย้งกันได้ แต่คิดแตกต่างในแต่ละเรื่องนั้น มีได้ เป็นเรื่องธรรมดา

“ผมเป็นคนตรงไปตรงมา ทำอะไรก็ยอมรับ ถ้าพูดอะไรออกไป คือเรื่องจริง แต่ถ้าเรื่องไหนพูดออกไปไม่ได้ ก็ไม่พูด แค่นั้น แต่จะไม่โกหก” พลเอกประวิตรกล่าว

“ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมผมโดนพาดพิง โดนปล่อยข่าวลือนั่นนี่ตลอด ทั้งๆ ที่ผมไม่เคยทำ และไม่รู้เรื่องเลยด้วยซ้ำ” บิ๊กป้อมแจงข่าว ไปแอบพูดคุยกับสายชินวัตร หรือนักการเมือง เพื่อเตรียมปรองดอง

จนทำให้พลเอกประยุทธ์ออกมาแฉว่าถูกกดดันให้ปรองดอง ให้ยอมพูดคุย ไม่เช่นนั้นบ้านเมืองจะไม่สงบ ถูกกดดันให้ซูเอี๋ย แต่จะไม่ยอมปรองดองกับคนที่ทำผิดกฎหมาย หากไม่ยอมมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

นั่นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ฝ่ายที่ต้องการปรองดอง รอมชอม ไปเข้าหาทางพลเอกประวิตรแทน

“ไม่มีๆ ผมเป็นคนไม่ปิดบังหรอก มีอะไรก็บอกตรงๆ มีอะไรผมก็คุย ปรึกษานายกฯตลอดอยู่แล้ว” พลเอกประวิตรกล่าว

แต่เรื่องที่กำลังถูกจับตามองว่าพี่ป้อมกับน้องตู่ ได้คุยกันหรือยัง ในเรื่องการวางตัวแม่ทัพนายกองชุดใหม่ โดยเฉพาะ ผบ.ทบ.

แม้จะยังไม่มีใครล่วงรู้อนาคตว่า ผบ.ทบ. คนที่ 40 จะเป็นบิ๊กเจี๊ยบ พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท ผช.ผบ.ทบ. สายรบพิเศษขั้วบ้านสี่เสา หรือบิ๊กแกละ พลเอกพิสิทธิ์ สิทธิสาร เสธ.ทบ. สายวงษ์สุวรรณ

แต่คนใน ทบ. ก็ยังเชื่อว่า ไม่ว่าจะยังไง บิ๊กเข้ พลโทเทพพงศ์ ทิพยจันทร์ แม่ทัพภาคที่ 1 ก็เตรียมที่จะขึ้นจ่อเป็น ผบ.ทบ. คนต่อจากนั้น

แม้จะมีเสียงจากตึกไทยคู่ฟ้ากระซิบมาว่าบิ๊กตู่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ยังไงก็ไม่เอาพลเอกพิสิทธิ์เป็น ผบ.ทบ. ก็ตาม

แต่สายบูรพาพยัคฆ์ บ้าน ร.1 รอ. เชื่อว่า ในที่สุดพลเอกประยุทธ์ก็ต้องยอมให้พี่ใหญ่เป็นคนตัดสินใจเลือก ผบ.ทบ.

เพราะไม่เช่นนั้น พลเอกประยุทธ์จะขอร้องให้บิ๊กป้อม พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ มาเป็น รมว.กลาโหม ทำไม

เพราะก็ต้องให้เกียรติ ผู้เป็นเจ้ากระทรวงปืนใหญ่ ที่คุมกองทัพ และสายงานความมั่นคง

สูตรอำนาจ ที่แพร่สะพัดใน ทบ.เวลานี้ จึงเป็นสูตรที่จะให้ พลเอกพิสิทธิ์ เตรียมทหาร 17 ขึ้นเป็น ผบ.ทบ. ก่อน 1 ปี แล้วต่อด้วยพลโทเทพพงศ์ ที่เกษียณกันยายน 2561

โดยในการโยกย้ายกันยายนนี้ ที่กำลังจัดทำโผกันอยู่ พลโทเทพพงศ์จะได้เป็นพลเอก ในห้าเสือ ทบ.แน่นอน เพื่อจ่อเป็น ผบ.ทบ.ในอนาคต

“ผมเฉยๆ นะ ไม่ได้รู้สึกอะไรกับข่าวที่ออกมาว่าเป็นตัวเต็ง เพราะคนที่ตัดสินใจคือผู้บังคับบัญชา” บิ๊กเข้กล่าว

โดยที่กระแสข่าว หรือการแห่แหนห้อมล้อม ไม่ได้ทำให้ตนเองรู้สึกใดๆ เพราะมีหลักคิดในใจที่ว่า

“ฟ้าได้ลิขิตทุกอย่างไว้หมดแล้ว ว่าใครจะเป็นอะไร” พลโทเทพพงศ์ระบุ

นั่นจึงมีส่วนสำคัญที่ทำให้เขาปล่อยวางการศึกการแย่งชิงเก้าอี้มาตั้งแต่ต้น

“คนเราถ้ามีธรรมะในใจ ทุกอย่างก็จะดี ปล่อยวาง ไม่ติดยึด” บิ๊กเข้เปรย

นั่นจึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พลโทเทพพงศ์ กลายเป็นที่ยอมรับในกองทัพบก ว่าเป็นนายทหารที่อารมณ์สุขุม นุ่มนิ่งอย่างที่สุด

ไม่ว่าจะอารมณ์ไหน สีหน้า หน้าตาและแววตาก็จะมีอารมณ์เดียว คือนิ่งและยิ้ม

“ในชีวิตนี้แทบจะไม่ค่อยได้โกรธใคร” บิ๊กเข้เผย

ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะโชคดีที่ได้เพื่อนร่วมงาน พี่ๆ และน้องๆ ที่ดี ทำงานเข้าขากันได้

จึงไม่แปลกที่ใครที่เคยเป็นลูกน้อง หรือผู้ใต้บังคับบัญชาของพลโทเทพพงศ์ จะแทบไม่เคยได้ยินบิ๊กเข้แผดเสียงดัง ตะโกน หรือสบถ

เพราะปกติ บิ๊กเข้เป็นนายทหารที่สุภาพมาก ไม่พูดคำหยาบแม้แต่ “กู” “มึง”

แม้จะพูดกับลูกน้อง ก็จะใช้สรรพนามแทนตนเองว่า พี่ กับน้อง หรือเรียกชื่อ

ส่วนคำว่า กู มึง นั้น จะใช้แต่กับเพื่อนสนิท เพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร 18 เท่านั้น

ด้วยความเป็นนายทหารที่สุขุม นิ่งเงียบนี่เอง ที่ทำให้พี่ๆ 3 ป. ทั้ง ป.ป้อม ป.ป๊อก และ ป.ประยุทธ์ จับตามองมานาน จนทำให้เขาถูกเรียกว่าเป็นน้องรักของทั้ง 3 ป.

เพราะก็เคยอยู่กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ (ร.21 รอ.) เป็นทหารเสือราชินีมาด้วยกัน เห็นนิสัยใจคอ และฝีมือในการทำงานมาเป็นอย่างดี

แม้จะเงียบและยิ้ม แต่ในเรื่องความเด็ดขาดของพลโทเทพพงศ์นั้น เป็นที่ยอมรับ

ส่วนหนึ่ง อาจเป็นผลมาจากการที่พลโทเทพพงศ์ หักดิบ ยุติการเป็นสิงห์อมควัน เลิกสูบบุหรี่ได้ในชั่วข้ามคืน

นั่นคือ เมื่อเขารับตำแหน่งผู้พัน ร.21 พัน 3 รอ. เขาก็เลิกสูบบุหรี่ทันที แล้วก็ไม่แตะต้องมันอีกเลย

ที่ดูจะคล้ายๆ พลเอกประยุทธ์ ที่ก็เลิกบุหรี่ตอนที่ได้เป็นผู้บังคับกองพัน

พลโทเทพพงศ์ เป็นทั้ง ผบ.ร.21 พัน 3 และ ร.21 พัน 2 รอ. ซึ่งก็ถือว่าสุดยอดของทหารเสือราชินี เพราะในที่สุดก็ขึ้นเป็น ผบ.ร.21 รอ. เดินตามไลน์รุ่นพี่ๆ ทั้ง พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา และพลเอกประยุทธ์ และบิ๊กโด่ง พลเอกอุดมเดช สีตบุตร ที่ก็เป็น ผบ.ร.21 รอ. ต่อเนื่องกันมา

สำหรับการเป็นนายทหารเสือราชินี ที่เติบโตใน พล.ร.2 รอ. กองพลบูรพาพยัคฆ์ จนได้เป็น ผบ.พล.ร.2 รอ. นั้น ถือได้ว่าได้เดินมาในเส้นทางเหล็กสู่เก้าอี้ ผบ.ทบ.

เพราะจาก ผบ.พล.ร.2 รอ. เขาก็ขึ้นรองแม่ทัพภาคที่ 1 และแม่ทัพน้อยที่ 1 ก่อนมาเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 ในการโยกย้ายเดือนกันยายน 2558 ที่ผ่านมา

และคาดกันว่าเขาจะขึ้นเป็นเสนาธิการทหารบกในก้าวต่อไป สู่ห้าเสือ ทบ.

ด้วยบุคลิกเช่นนี้ พลโทเทพพงศ์ จึงถูกมองว่าเป็นคนที่พี่ๆ 3 ป. มองว่าเหมาะสมกับสถานการณ์ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่สุด

และสถานภาพของรัฐบาล คสช. จึงจำเป็นต้องเลือกผู้นำกองทัพที่รู้ใจและไว้วางใจได้แบบล้านเปอร์เซ็นต์

พลโทเทพพงศ์ คือคำตอบและตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด แถมทั้งเป็นนายทหารที่ไม่ค่อยพูด หรือเรียกได้ว่าพูดเท่าที่จำเป็น เหมาะแก่การทำงานชั้นความลับ

แต่เห็นเงียบๆ ก็ใช่ว่าบิ๊กเข้จะพูดไม่เป็น เพราะเขาก็มีวาทศิลป์ และความเป็นผู้นำอยู่เต็มตัว

แม้จะดูขี้อาย แต่ทว่าก็สามารถที่จะขึ้นเวทีร้องเพลงได้เมื่อจำเป็น เพราะการเป็นทหารเสือราชินีในสมัยก่อน ก็จำเป็นต้องร้องเพลงในยามที่มีงานเลี้ยง

แต่ทว่า การที่เขาหน้าแดงอยู่ตลอดเวลานี่ ไม่ใช่เพราะขี้อาย แต่เพราะหน้าตาเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก หน้าแดงมาตลอด

แต่ที่แน่ๆ เขาเป็นที่รักของพี่ๆ โดยเฉพาะบิ๊กตู่ ที่เอ็นดูรักใคร่ จากเดิมที่ชื่อเล่นว่า “จิ๋ว” ก็ตั้งใหม่เป็น “เข้” โดยไม่มีใครรู้ว่าทำไม หรือเพราะเขาเป็นคนที่มีหน้าอารมณ์เดียว ไม่แสดงออกว่าร้อนหนาวอย่างไรหรือไม่

ท่ามกลางทุกสายตาที่รอลุ้นแทนเขาว่า ใครจะเป็น ผบ.ทบ. เพราะมีผลโดยตรงต่ออนาคตของพลโทเทพพงศ์อย่างยิ่ง

เพราะหาก พลเอกเฉลิมชัย รุ่นพี่เตรียมทหาร 16 เป็น ผบ.ทบ. นั่นหมายถึงโอกาสที่เขาจะเป็น ผบ.ทบ.ต่อ ก็น้อยลง เพราะพลเอกเฉลิมชัยอายุน้อย เกษียณกันยายน 2561 พร้อมบิ๊กเข้ที่เป็นรุ่นน้อง

แม้จะมีสูตรอำนาจที่ว่าจะให้ พลเอกเฉลิมชัย เป็น ผบ.ทบ.แค่ 1 ปี แล้วโยกย้ายกันยายน ปี 2560 จะขยับไปเป็น ผบ.สส. นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะคนขึ้นนั่ง ผบ.ทบ.แล้ว ใช่ว่าจะมาย้ายกันได้ง่ายๆ หรือแม้ว่าจะมีสัญญิงสัญญากันไว้ก่อนกับพลเอกประยุทธ์ก็ตาม

แต่ตอนนี้ที่ บก.กองทัพไทย ก็หนาวๆ ร้อนๆ กันแล้ว เพราะมีโอกาสที่จะเจอ “เสือข้ามห้วย” มาเสียบยอด

อันจะทำให้แผนการวางตัว ผู้บัญชาการทหารสูงสุดแบบระยะยาว ตั้งแต่ยุคบิ๊กเจี๊ยบ พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกฯ เมื่อครั้งเป็น ผบ.สส. จะสะเทือน

เพราะเมื่อบิ๊กเต้ พลเอกสมหมาย เกาฏีระ เกษียณราชการกันยายนนี้ ก็จะเสนอชื่อบิ๊กปุย พลเอกสุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ เสนาธิการทหาร เพื่อน ตท.15 เป็น ผบ.สส. คนใหม่แทน

โดยมีการวางตัวบิ๊กต๊อก พลเอกธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ รองเสนาธิการทหาร ให้เป็น เสธ.ทหาร เพื่อจ่อเป็น ผบ.สส.คนต่อไป

ไม่แค่นั้น มีการวางตัวบิ๊กกบ พลเอกพรพิพัฒน์ เบญญศรี หัวหน้าคณะนายทหารฝ่ายเสนาธิการ ประจำ ผบ.สส. ให้เป็นรองเสธ.ทหาร เพื่อจ่อขึ้นเป็น ผบ.สส.คนต่อไป

แต่ข่าวที่สะพัดแรงใน บก.ทัพไทยเวลานี้ คือ เมื่อพลเอกเฉลิมชัยไม่ได้เป็น ผบ.ทบ. ก็จะต้องถูกส่งข้ามมา บก.กองทัพไทย ในตำแหน่งรอง ผบ.สส. และด้วยอายุราชการถึงกันยายน 2561 ก็ทำให้เขาลุ้นชิงเก้าอี้ ผบ.สส.ในอนาคตได้

จนมีข่าวว่า พลเอกธารไชยยันต์ จะต้องขยับไปเป็น ผบ.หน่วยทหารพัฒนา (ผบ.นทพ.) ที่อาจทำให้เสียจังหวะในการก้าวขึ้นสู่เก้าอี้ ผบ.สส.

ข่าวหนึ่งก็เพราะว่าเก้าอี้รอง ผบ.สส. หรือเสนาธิการทหาร จะเปิดช่องไว้รองรับนายทหารที่อกหักจากกองทัพบก และอีกข่าวหนึ่งก็เปิดช่องให้บิ๊กต๊อก พลเอกหัสพงศ์ ยุวนวรรธนะ ผบ.หน่วยทหารพัฒนา ขยับขึ้นมา

ดังนั้น จึงเข้าตำราที่ว่า ถ้าตำแหน่ง ผบ.ทบ. ยังไม่ลงตัว ตำแหน่งอื่นๆ ก็ต้องรอ แต่เชื่อกันว่าภายในเดือนกรกฎาคมนี้คงเห็นกันชัดเจน

ขณะที่เส้นทางเหล็กของ ทบ.อีกสายหนึ่ง จากเดิมที่สมัยก่อนเป็นยุคของวงศ์เทวัญนั้น จาก ผบ.พัน ผู้การกรม ใน ร.1 รอ. และ ร.11 รอ. หรือ ร.31 รอ. แล้ว ต้องขึ้นเป็น ผบ.พล.1 รอ. แล้วก็ขี้นรองแม่ทัพภาคที่ 1 และเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 แล้วก้าวสู่ ผบ.ทบ.

แต่ในช่วงกว่า 10 ปีให้หลังมานี้ ในยุคทองของบูรพาพยัคฆ์ เส้นทางเหล็กได้เปลี่ยนจาก ผบ.พล.1 รอ. มาเป็นคนที่ต้องผ่าน ผบ.พล.ร.2 รอ. ก่อนขึ้นรองแม่ทัพภาคที่ 1 และเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 เช่น เส้นทางของพลเอกอนุพงษ์ พลเอกประยุทธ์ และพลโทเทพพงศ์

นี่จึงทำให้บิ๊กติ่ง พลตรีสันติพงศ์ ธรรมปิยะ ผบ.พล.ร.2 รอ. ถูกจับตามองทันทีที่เขาถูกส่งจาก ผบ.มทบ.11 ที่นั่งมาแค่ 6 เดือน กลับไปเป็น ผบ.พล.ร.2 รอ. หน่วยต้นกำเนิด

ที่สำคัญ การที่เขาเป็นเตรียมทหารรุ่น 22 แถมมีอายุราชการถึงกันยายน 2565 จึงทำให้เขาถูกจับตามองว่าอนาคตจะถึงเก้าอี้ ผบ.ทบ.หรือไม่

เพราะเมื่อหันกลับไปดูเส้นทางเดินของพลตรีสันติพงศ์ ก็ต้องถือว่าไม่ธรรมดา เพราะผ่านมาทุกตำแหน่งในสายคอมแมนด์

เพราะเขาเป็นทหารเสือราชินีมาตั้งแต่กำเนิด เพราะโตมาใน ร.21 รอ. ตั้งแต่เป็นผู้บังคับหมวดปืนเล็ก ร.21 พัน 2 รอ. ค่ายนวมินทราชินี เป็นผู้บังคับกองร้อย จนเป็น ผบ.ร.21 พัน 2 รอ. นานถึง 4 ปี

ก่อนขยับป็น เสธ.ร.21 รอ. รอง ผบ.ร.21 รอ. และเป็น ผบ.ร.21 รอ. ท็อปสุดของหน่วยทหารเสือราชินี

ในช่วงนี้ เขาถูกจับตามองว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะแทนที่จะขึ้นเป็นรอง ผบ.พล.ร.2 รอ. ตามไลน์ แต่เขากลับต้องไปเป็นรองผู้บัญชาการมณฑลทหารบก 14 (มทบ.14)

ทั้งๆ ที่เขาเป็นที่รักของน้องๆ มีความเป็นผู้นำ รักเพื่อนพี่น้อง ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาทุกสนาม แถมฝีมือเป็นที่ยอมรับ เพราะเป็นทั้งครูสอนหลักสูตรทหารเสือราชินี และเป็นนักบู๊ นักรบ ที่ชอบกระโดดร่มมาเป็นพันครั้ง

แต่จากนั้นเขาก็กลับเข้าไลน์มาเป็นรอง ผบ.พล.ร.2 รอ. แล้วมาเป็นนายพลติดยศพลตรี ผบ.มทบ.11 แค่ 6 เดือน ก็ได้กลับไปผงาดเป็น ผบ.พล.ร.2 รอ. เมื่อโยกย้ายเมษายน 2559 ที่ผ่านมา

ท่ามกลางการจับตามองว่า เส้นทางเหล็ก ที่เคยพาดผ่านกรุงเทพฯ วนเวียนแต่ในกรุงเทพฯ ที่มีเก้าอี้ ผบ.พล.1 รอ. เป็นแรงส่งมาตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ที่ได้เปลี่ยนมาเป็นเส้นทางเหล็ก ที่พาดผ่านไปทางบูรพาทิศ จากเก้าอี้ ผบ.พล.ร.2 รอ. มากว่า 10 ปีแล้วนั้น จะเปลี่ยนทิศจากนี้หรือไม่

ทั้งเก้าอี้แม่ทัพภาคที่ 1 คนใหม่ ที่จะมาจากอดีต ผบ.พล.1 รอ. อย่างบิ๊กแดง พลโทอภิรัชต์ คงสมพงษ์ แม่ทัพน้อยที่ 1

หรือจะเป็นบูรพาพยัคฆ์อีกครา อย่างบิ๊กตู่ พลตรีกู้เกียรติ ศรีนาคา รองแม่ทัพภาคที่ 1

หรือว่าจะกระโดดข้ามไปเป็นบิ๊กณัฐ พลโทณัฐ อินทรเจริญ รองเสธ.ทบ. ลูกรักของพลเอกประวิตร ที่โตมาจาก ผบ.พล.ร.9 แต่ทว่าก็โตมาจากแดนทหารเสือและบูรพาพยัคฆ์ ก่อนด้วยนั่นเอง

เพราะมีการตั้งข้อสังเกตว่า ให้ระวังการตัดสินใจของพลเอกประวิตร ที่อาจยึดแนวทางเหมือนตอนที่เลือกบิ๊กแป๊ะ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา เป็น ผบ.ตร. เพราะแม้จะอายุราชการในเวลานั้นเหลือตั้ง 5 ปี แถมไม่ได้อาวุโสสูงสุด

ที่อาจทำให้พลเอกประวิตรจะเลือกความมั่นใจ วางใจได้แบบล้านเปอร์เซ็นต์ ด้วยการให้ลูกรักอย่างพลโทณัฐ ที่มีอายุราชการถึงกันยายน 2564 ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 เลย แม้ว่าเส้นทางเดินอาจจะไม่สวยงามเท่าพลโทอภิรัชต์ และพลตรีกู้เกียรติ เพื่อน ตท.20 ด้วยกันก็ตาม

แต่ทว่าเก้าอี้ ผบ.ทบ.นั้น หากพลเอกพิสิทธิ์ได้คว้าชัย ก็จะเป็นการขีดเส้นทางเหล็กใหม่ เพราะเขาเป็นทั้ง ผบ.พล.1 รอ. และ ผบ.พล.ร.2 รอ. สมกับที่เป็นบูรพาเทวัญ ที่โตมาจากทั้ง 2 กองพล

แต่หากจบลงที่พลเอกเฉลิมชัย ก็จะทำให้เส้นทางเหล็กสู่เก้าอี้ ผบ.ทบ. เปลี่ยนทิศกลับไปยังลพบุรี เมืองทหาร ดินแดนแห่งรบพิเศษหมวกแดงอีกครั้ง หลังจากที่ไม่ได้ครองเก้าอี้ ผบ.ทบ.มานาน 101 ปี นับตั้งแต่บิ๊กบัง พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน เป็น ผบ.ทบ. เมื่อปี 2549

ที่เขียนประวัติศาสตร์ให้ตนเอง ด้วยการนำปฏิวัติรัฐประหาร 19 กันยายน 2549

จนทำให้วันนี้ มีการวิเคราะห์กันว่า ดวงชะตาที่ทหารรบพิเศษจะได้กอบกู้ชาติบ้านเมือง จะวนกลับมาอีกครั้งหรือไม่ หากพลเอกเฉลิมชัยเป็น ผบ.ทบ.

แต่ย่อมไม่ใช่การรัฐประหารซ้อน ล้ม คสช. เช่นที่บรรดาฝ่ายต่อต้าน คสช. เชียร์พลเอกเฉลิมชัย เพราะรอลุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกองทัพนั่นเอง เพราะรู้ว่า พลเอกเฉลิมชัย เป็นสายของบิ๊กแอ้ด พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และอดีตนายกฯ ของคณะปฏิวัติ คมช. ที่นำโดยพลเอกสนธิ และเป็นสายบ้านสี่เสาเทเวศร์อีกด้วย

เพราะขุมกำลังในกองทัพภาคที่ 1 ยังคงเป็นคนของพลเอกประวิตร และพลเอกประยุทธ์ ในแทบจะทุกหัวระแหง

ดังนั้น จึงกลับมาสูตรอำนาจที่ แม่ทัพภาคที่ 1 จึงต้องเป็นคนที่บิ๊กตู่และบิ๊กป้อมวางใจได้ล้านเปอร์เซ็นต์เช่นกัน

การเลือก ผบ.ทบ. และแม่ทัพภาคที่ 1 ของบิ๊กตู่และบิ๊กป้อม ในการโยกย้ายครั้งนี้ อาจจะเป็นจุดพลิกผันหรือจุดเปลี่ยนของ คสช. และของชาติบ้านเมืองเลยก็เป็นได้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image