ที่มา | มติชนออนไลน์ |
---|---|
ผู้เขียน | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
เผยแพร่ |
บวชนาคไม่มีในพุทธบัญญัติ จึงไม่มีในอินเดียและลังกา ต้นทางพุทธศาสนาของไทยและอุษาคเนย์โบราณ
พุทธบัญญัติในอินเดียและลังกา มีพิธีบวชคนเป็นพระสงฆ์ ไม่บวชนาค
พุทธปะทะผี แล้วต่อรองกันในพิธีบวช มีนิทานเป็นที่รู้กันอีกเรื่องว่าพญานาคปลอมเป็นคนไปขอบวชเป็นพระสงฆ์
เป็นพยานว่าการเผยแผ่พุทธศาสนาไม่ราบรื่นในสุวรรณภูมิ ไม่ว่าไทยหรือตรงไหน?
นาค เป็นคำดูถูกเหยียดหยามที่ชาวอารยัน (ตระกูลภาษาอินโด-ยูโรเปียน) มีต่อคนพื้นเมืองที่ไม่เป็นอารยัน ทั้งคนอุษาคเนย์และคนอื่นๆ ในเขตชมพูทวีป (อินเดีย) เช่น ชนเผ่านาค
“นาค” อุษาคเนย์
นาค เป็นคำใช้เรียกคนผู้ชายที่จะขออุปสมบท คือบวชเป็นพระภิกษุ แต่ไม่เคยพบหลักฐานว่าถ้าคนผู้หญิงขออุปสมบทเป็นภิกษุณีจะมีคำเรียกว่าอะไร?
ประเพณีไทยแต่โบราณนานมาแล้วไม่เรียกพิธีอุปสมบทว่าบวชคนให้เป็นพระ แต่เรียกบวชนาค (ให้เป็นพระ)
ในพระวินัยของพระพุทธเจ้าไม่มีเรื่องบวชนาค (ให้เป็นพระ) ฉะนั้นพิธีบวชนาคจึงไม่มีในชมพูทวีป (คืออินเดียโบราณ) แต่เป็นประเพณีพื้นเมืองของภูมิภาคอุษาคเนย์ โดยเฉพาะบริเวณผืนแผ่นดินที่เป็นพม่า (มอญ) เขมร ลาว และไทย
ปัจจุบันที่ลังกามีบวชนาค แต่เขาอธิบายไม่ได้ว่าคืออะไร? มาจากไหน? ชี้ให้เห็นว่าพิธีบวชนาคในลังการับไปจากกรุงศรีอยุธยา เมื่อคราวพระอุบาลี (จากวัดธรรมาราม อยุธยา) รับนิมนต์ไปประดิษฐาน “สยามวงศ์” ที่ลังกาทวีป เมื่อ พ.ศ. 2295
แต่ครั้นไต่ถามความจริงจากผู้คนในอุษาคเนย์แท้ๆ ก็อธิบายไม่ได้ว่าพิธีบวชนาคคืออะไร? มาจากไหน? แล้วพากันโยนกลับไปที่อินเดีย ทั้งๆ ที่ในอินเดียไม่เคยมีบวชนาค
นาค-เป็นอะไร? มาจากไหน?
นาค (Naga) อยู่ในภาษาตระกูลอินโด-ยุโรป มีรากเดิมมาจากคำว่านอค (Nog) แปลว่าเปลือย, แก้ผ้า แล้วภาษาอังกฤษรับมาใช้ว่า Naked เป็นอันรู้แล้วว่านาคไม่ใช่คำไทย-ลาว และไม่ใช่คำมอญ-เขมร แต่ทั้งตระกูลไทย-ลาว กับมอญ-เขมร รับมาใช้ในความหมายว่างู เพราะงูเป็นสัตว์เปลือยไม่มีขนปกปิด แล้วสร้างจินตนาการเพิ่มเติมต่อมาว่าหัวหน้างูทั้งหลายคือพญานาค มีถิ่นที่อยู่ใต้ดินเรียกบาดาล
เมื่อนาค มาจากนอค หมายถึงเปลือยหรือแก้ผ้า ต่อมาจึงเป็นคำของพวกมีวัฒนธรรมสูงกว่าที่รู้จักทอผ้านุ่งห่มแล้ว ใช้เรียกพวกมีวัฒนธรรมต่ำกว่า คือยังไม่รู้จักทอผ้านุ่งห่ม ยังเป็นคนเปลือย หรือคนแก้ผ้า อย่างดีก็เอาใบไม้มามัดผูกเป็นเครื่องนุ่งห่ม
ดังนิทานกำเนิดรัฐฟูนันในอุษาคเนย์ที่ตระกูลพราหมณ์ (โกณฑัญญะ) มาทางทะเล แล้วปราบปรามชนเผ่าพื้นเมืองที่มีหัวหน้าเป็นผู้หญิง เอกสารจีนเรียกนางลิวเย่ แปลว่านางใบมะพร้าวคือไม่นุ่งผ้า แต่เอาใบมะพร้าวมาห่อหุ้มร่างกายเท่านั้น
นางลิวเย่ ก็คือนางนาค หมายถึงนางเปลือย นางแก้ผ้า ตามทัศนะของคนภายนอก คือพวกพราหมณ์จากชมพูทวีป
แต่ในอีกด้านหนึ่งเกี่ยวกับวัฒนธรรม ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ อธิบายว่านาคหมายถึงพวกมีวัฒนธรรมต่ำกว่าชมพูทวีป (มีรายละเอียดในข้อเขียนเรื่องบวชนาค เข้าพรรษา พิมพ์ในมติชน สุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 15-21 กรกฎาคม 2559 หน้า 62)
จนที่สุดเรียกคนพื้นเมืองหมดทั้งหญิงและชายอย่างดูถูกและเหยียดหยามว่านาคทั้งนั้นไม่มีละเว้น มีตำนานและนิทานพื้นเมืองพูดถึงบ่อยๆ เช่น อุรังคธาตุ หรือตำนานพระธาตุพนม ระบุว่าคนพื้นเมืองบริเวณสองฝั่งโขงที่ยังไม่รู้จักศาสนาจากชมพูทวีปล้วนเป็นนาค
นอกจากมีร่องรอยอยู่ในตำนานและนิทานพื้นเมืองแล้ว คำว่านาค ที่หมายถึงคนพื้นเมือง คนป่า คนดอยคนดง ยังเหลืออยู่กับชนเผ่ากลุ่มหนึ่งในอินเดียทุกวันนี้เรียกตัวเอง (ด้วยคำของคนอื่น) ว่าเผ่านาค มีดินแดนของตัวเองเรียกรัฐนาค (Nagaland)
พญานาคปลอมเป็นคน
มีนิทานพุทธเป็นที่รู้กว้างขวางเรื่องหนึ่ง ความว่าพญานาคปลอมเป็นคนไปขอบวช แต่ภายหลังจับได้ว่าไม่ใช่คน เลยห้ามพญานาคบวช
จิตร ภูมิศักดิ์ อธิบายไว้ในหนังสือความเป็นมาของคำสยามฯ (พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2519) ดังนี้
“ในการบวชเป็นภิกษุของพุทธศาสนา, มีการห้ามมิให้พวกนาคบวช.
เล่ากันว่า นาค นั้นคือพญางูใหญ่ หรือพญานาค, และว่าพญานาคเคยปลอมตัวเข้ามาบวชด้วย. แต่ภายหลังถูกจับได้จึงถูกขับให้ลาสิกขา, พญานาคจึงขอร้องต่อพระพุทธเจ้าว่าต่อไปภายหน้าแม้นาคจะบวชไม่ได้ก็ขอให้ผู้ที่กำลังเตรียมตัวเพื่อจะบวชนั้นมีชื่อเรียกว่า นาค, ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของประเพณีเรียกว่า ทำขวัญนาค, ขานนาค, บวชนาค มาในทุกวันนี้.
จากการนี้จึงได้มีการตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้ที่จะมาบวชนั้น มิใช่พญานาคหากเป็นคนแน่นอน, ในการบวชจึงมีระเบียบว่าพระคู่สวดสององค์จะต้องพาผู้บวชออกไปสอบสวนนอกประตูพระอุโบสถ ในคำสอบสวนนั้นมีคำถามหนึ่งถามว่า ‘มนุสฺโส สิ?’ (เจ้าเป็นคนหรือเปล่า).
เรื่องปรัมปราที่ว่าพญานาคปลอมมาบวชนั้นตัดทิ้งไปได้.
ทำไม, พระคู่สวดแต่โบราณนั้นดูไม่ออกเจียวหรือ ว่าคนที่มาขอบวชและยืนอยู่ตรงหน้าตนนั้นเป็นคนหรือเปล่า? และยังไม่ยอมเชื่ออีกหรือว่าผู้มาขอบวชนั้นพูดจาภาษาบาลีกันได้รู้เรื่องขนาดนี้แล้วยังอาจจะไม่ใช่คน?”
นาคไม่ใช่คน
จิตร ภูมิศักดิ์ ชี้ว่านิทานห้ามพญานาคบวช สะท้อนการเหยียดพวกไม่อารยัน ไม่ใช่คน ดังนี้
“ปัญหามิใช่อยู่ที่ว่าพระคู่สวดไม่รู้ หรือดูไม่ออกว่าสิ่งที่ยืนอยู่เบื้องหน้าตนนั้นเป็นตัวแมงกะแท้หรือเป็นคน, หากความเป็นจริงอยู่ที่ว่าสังคมอินเดียยุคนั้นมีการเหยียดหยามคนบางเผ่าที่ระดับสังคมล้าหลังให้เป็นผี เป็นลิงค่างบ่างชะนี เป็นสัตว์ เป็นยักษ์, ไม่ยอมรับว่าเป็นคนหรือเป็นมนุษย์.
ในยุคพุทธกาลนั้น สังคมอินเดียทั่วไปจะต้องไม่ยอมรับชนเผ่านาคาหรือนาคว่าเป็นคน, คงถือเป็นลิงค่างหรือแมงกะแท้ป่าเถื่อน, แม้จะพูดภาษากันรู้เรื่องก็ยังหายอมรับว่าเป็นคนไม่, ฉะนั้นจึงไม่ยอมรับให้เข้าบวชในพุทธศาสนา.
ในสมัยพุทธกาล พุทธศาสนาเผยแพร่อยู่ในบริเวณภาคตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ของอินเดีย, นับแต่เนปาลลงไป. ในยุคนั้นชนเผ่านาคคงจะยังไม่ถูกขับไล่จนไปตันอยู่ที่ทิวเขานาคติดพรมแดนพะม่าทั้งหมด คงจะมีกระจายอยู่ในแถบตะวันออกของอินเดียทั่วไป วงการของพุทธศาสนาจึงรู้จักดีและกีดกันพวกนี้ออกนอกความเป็นคน.
อันที่จริงพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นสกุลศากยะแห่งนครรัฐกระเป๋ากบิลพัศดุ์ในเขตเนปาลนั้น ก็มิใช่ชาวอารยัน, หากเป็นชนเผ่ามองโกล, พวกศากยะที่ยังมีอยู่บัดนี้ก็ยังมีใบหน้าและรูปร่างไม่ทิ้งเค้ามองโกลมากนัก, แต่พวกสกุลศากยะคงจะถือตัวว่าเป็นผู้เจริญอย่างเดียวกับอารยัน จึงได้เหยียดหยามพวกนาคลงเป็นอมนุษย์. ประเพณีอันนี้ของสังคมในขณะนั้นจึงได้มีอิทธิพลเข้ามาในพุทธศาสนาด้วย.
ในข้อนี้ถ้าหากจะมองพุทธศาสนาแบบงมงาย คือถือว่าไม่มีอิทธิพลของสังคมในยุคนั้นวางปูเป็นพื้นฐานอยู่เลย ก็อาจจะไม่สามารถเข้าใจได้. แต่ถ้ามองพุทธศาสนาเป็นปรัชญาของยุคที่อินเดียกำลังก้าวหน้ามาสู่ยุคศักดินา เป็นปรัชญาที่เกิดขึ้นคัดค้านปรัชญาของศาสนาพราหมณ์ อันเป็นหัวใจของชนชั้นปกครองอารยันแห่งยุคสังคมทาส, พุทธปรัชญาเกิดขึ้นคัดค้านปรัชญาของศาสนาพราหมณ์ แต่คัดค้านบนพื้นฐานของสังคมในยุคนั้นและก้าวไปไกลที่สุดเท่าที่สภาพสังคมยุคนั้นจะอำนวยให้ไปได้, ส่วนหนึ่งก้าวล้ำยุคไปข้างหน้า และก็ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่ยังคงรับรองความสำนึกขั้นพื้นฐานของสังคมยุคนั้นอยู่, ถ้ามองอย่างนี้จึงจะเข้าใจได้ว่าทำไมวงการพุทธศาสนาจึงไม่ยอมรับว่านาคคือคน. และทำไมจึงต้องถามก่อนบวชเสมอว่า เจ้าเป็นคนหรือเปล่า? (มนุสฺโส สิ).
สาเหตุอยู่ที่ว่าในความสำนึกพื้นฐานของสังคมอินเดียยุคนั้นไม่ยอมรับเอา homo species ว่าเป็นคน-มนุสฺโสทั้งหมดนั่นเอง!
และก็เพราะเหตุนี้ จึงได้มีชนบางเผ่าแสดงปฏิกิริยาตอบโต้ขึ้นโดยประกาศชื่อเผ่าพันธุ์ทางชีววิทยาของตน ออกมาว่า นี่เว้ย ‘คน’!
และบางเผ่าก็ประกาศลักษณะที่มีการจัดตั้งทางสังคมของตนออกมาด้วยว่า นี่เว้ย คนเมือง!”
ชนเผ่านาคในอินเดีย
คนอินเดียถือตนเป็นอารยัน แต่คนชายขอบอินเดียไม่เป็นอารยัน ย่อมไม่ใช่คน เช่น ชนเผ่านาค
จิตร ภูมิศักดิ์ อธิบายเรื่องชนเผ่านาคในอินเดียไว้ในหนังสือความเป็นมาของ คำสยามฯ ดังนี้
“พวกนาคเป็นชนชาติส่วนน้อยทางตะวันออกสุดของอินเดีย ติดพรมแดนพะม่า อยู่ ณ บริเวณเทือกเขานาค (Naga Hills), เดิมเป็นส่วนหนึ่งของอัสสัม, แต่พวกนาคได้ร่วมกันต่อสู้มานานปีจนปี พ.ศ. 2507 ได้มีการยินยอมจากรัฐบาลกลางแห่งสหภาพอินเดียให้จัดตั้งเป็นรัฐนาค (Nagaland) ขึ้น.
ชนเผ่านาคเป็นชนชาติตระกูลภาษาธิเบต-พะม่า. เป็นชนชาติที่ล้าหลังตลอดมาในอดีต และลือชื่อในประเพณีล่าหัวมนุษย์เช่นเดียวกับพวก ‘ว้าฮ้าย’ (ละว้าร้าย) ในภาคเหนือของพะม่า. แต่นั่นก็เป็นเรื่องในอดีต. ขณะนี้ชนรัฐนาคเจริญก้าวหน้าไปมากแล้ว.
ชาวอารยันยุคโบราณ, สมัยที่ยังไม่เกิดรัฐประชาชาติ, เหยียดหยามดูถูกพวกนาคมาก ถือเป็นมิลักขะพวกหนึ่ง และคำเรียกชื่อชนชาตินี้ก็กล่าวกันว่ามาจากภาษาอัสสัม ซึ่งเขียน (nāga) แต่ออกเสียงอ่านเป็น นอค (nōga) แปลว่า เปลือย. แก้ผ้า. บ้างก็ว่ามาจากภาษาฮินดูสตานีว่า นัค (nag) แปลว่าคนชาวเขา.
แต่อย่างไรก็ดี มีนักศึกษาบางคนค้นพบว่า คำว่า นอก (nok) นั้นมีใช้อยู่ในภาษาของชาวนาคตะวันออกบางเผ่า แปลว่า ‘คน’ (ในความหมายว่า people ไม่ใช่ human being). และยังมีผู้อื่นอีกที่ได้ค้นพบว่าคำที่เขาเรียกตนเองว่านาค (นคค) แปลว่า คนแข็งแรง. ชนเผ่านาคนั้นเป็นชาตินักสู้ ไม่กลัวเสือ และยกย่องความแข็งแรงของร่างกายเป็นอย่างยิ่ง”
“พุทธ” กับ “ผี” ประนีประนอมเป็น “บวชนาค”
นิทานปรัมปราเรื่องพญานาคที่เป็นงู เป็นสัตว์เลื้อยคลาน ปลอมไปบวช เป็นเรื่องที่ผูกขึ้นมาภายหลังเมื่อคำว่านาคเลื่อนความหมายกลายเป็นงูใหญ่ไปแล้ว
นาค แปลว่าคนพื้นเมือง แต่การที่ยังเรียกพิธีบวชคนพื้นเมืองเป็นพระภิกษุว่าบวชนาค ย่อมสะท้อนให้เห็นลักษณะประนีประนอมทางพิธีกรรม คือพุทธยอมให้ผี เพราะคนพื้นเมืองไม่ยอมเลิกนับถือผีไปเป็นพุทธอย่างชมพูทวีป
พิธีบวชนาคยุคแรกเริ่มเดิมทีมีร่องรอยเหลืออยู่ในพม่า สมเด็จฯ กรมพระยาดำรง ราชานุภาพ ทรงพระนิพนธ์ (เล่าไว้ในหนังสือเที่ยวเมืองพม่า) ว่านาคยังไม่ปลงผมโกนหัว เอานาคขึ้นม้าไปแห่เสียก่อน ต่อเมื่อจะเข้าโบสถ์ขออุปสมบทจึงค่อยโกนหัว ซึ่งต่างจากคนไทยทุกวันนี้ที่ให้นาคโกนหัวก่อนแล้วค่อยแห่นาค
เหตุที่นาคยังไม่ต้องโกนหัว เพราะนาคคือคนเรานี่แหละ ไม่ได้มีฐานะพิเศษเป็นอย่างอื่น เข้าใจว่าคนไทย-ลาวแต่ก่อนก็เป็นอย่างพม่า เพราะเคยเห็นพวกเขมรเป็นนาค ต้องใส่หัวเป็นรูปพญานาคด้วยซ้ำไป แสดงว่ายังไม่ต้องโกนหัว
อย่างนี้คือสิ่งที่เป็นจริงตามประเพณีเดิมแท้มาแต่แรก