เหยี่ยวถลาลม : ทำไมหาเรื่องใส่ตัว
ยังคงมีผู้สงสัยและยังคงถามกันทั่วไปว่าเหตุใด “คณะก้าวหน้า” หรือบรรดาอดีตกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ที่ถูกยุบพรรคจึง “ฉายแสงเลเซอร์” นำข้อความ “#ตามหาความจริง” ไปปรากฏตามอาคารสถานที่สำคัญหลายแห่งใน กทม.
ณ ที่แห่งนี้ วันนี้ เดือนนี้ เมื่อ 10 ปีก่อน มีคนถูกฆ่า !
แค่สาดลำแสงเลเซอร์ไปยังผนังอาคารสถานที่ก็ทำให้ฉุกคิดถึงทุกชีวิตที่ตายที่เจ็บจากการใช้กำลังทหารเข้าสลายการชุมนุมเมื่อ 14-19 พฤษภาฯ 2553
การทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับคนที่ตาย การเรียกร้องทวงถามความยุติธรรมให้กับคนตายไม่ใช่เรื่องที่ผิดศีลธรรม
หรือใครจะว่าผิดกฎหมาย “ความมั่นคงเฉพาะบุคคล” !?
พฤษภาคมปีนี้ ครบรอบ 28 ปี สลายการชุมนุม “พฤษภาทมิฬ’35”
และครบรอบ 10 ปี “พฤษภา’53” ที่ทหารกระชับวงล้อมด้วยกระสุนจริงและไรเฟิลติดกล้องส่องยิง (สไนเปอร์) จนมีผู้เสียชีวิตเกือบ 100 ศพ
พฤษภา’53 เหี้ยมยิ่งกว่า “พฤษภาทมิฬ” หลายเท่า !
“#ตามหาความจริง” จึงไม่ใช่การฟื้นฝอยหาตะเข็บ ไม่ใช่แกว่งปากหาเท้า !
แต่เป็นการเปิดประตูออกไปจากการจำนน ซึ่งเมื่อมีใครสักคนถูกฆ่าตายก็ไม่ควรจะจบลงด้วยตรรกะง่ายๆ ว่า ฝ่ายหนึ่ง เป็นผู้ปกครอง ทำอะไรก็ไม่ผิด ส่วน “ผู้ถูกปกครอง” จะต้องรู้จักการปรองดอง ให้อภัย ไม่จองเวร
แค่นิมนต์พระมาสวดทำบุญอุทิศส่วนกุศลแก่ผู้จากไปก็น่าจะพอกันได้แล้ว?
จากนั้นให้ปิดปาก อย่าพูด อย่าถาม อย่าสงสัย ให้หลีกเลี่ยงที่จะก่อความขัดแย้งกับ “ผู้มีอำนาจรัฐ” จึงเกิดธรรมเนียมปฏิบัติ “จำนน” กันเรื่อยมาตั้งแต่มหาวิปโยค 14 ตุลาคม 2516, สังหารหมู่ 6 ตุลาคม 2519, พฤษภาทมิฬ 2535 จนถึง “พฤษภา’53” ที่ไม่สามารถจะ “ค้นหาความจริง”
ไม่พบตัวผู้กระทำความผิด
ฆาตกรลอยนวล !
คงเหลืออยู่ก็แต่เสียงร่ำร้องโหยหาความยุติธรรม
จึงมีคำถามว่า นานมาแล้ว กลไกใน “ระบบยุติธรรม” ของไทยชำรุดที่ตรงไหน ทำไม “คนผิด” จึงลอยนวล
ถึงแม้จะพรรณนาสรรหาข้อหาความผิดมายัดเยียดให้เพื่อที่จะ “ฆ่า” แต่ก็ไม่มี “การฆ่าโดยชอบ” เว้นแต่การประหารชีวิตตามคำพิพากษา
“ตามหาความจริง” ไม่ใช่แส่หาเรื่อง แต่เป็นการทวงความยุติธรรมให้กับทุกคนที่ถูกฆ่า
ฆ่าคนตายไม่ผิด ในโลกนี้มีหรือไม่ !?!!