อำนาจ ปรับ ครม.
ของ ประยุทธ์ จันทร์โอชา
กับอำนาจ ‘อื่น’
ประหนึ่งว่าการทอดเวลาแห่งการปรับ ครม.ให้ยาวนานออกไปจะสะท้อนให้เห็น “อำนาจ” ในมือของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่ามีมากเพียงใด
เพราะหากไม่มี “อำนาจ” ในมือก็คงต้อง “ปรับ” ไปแล้ว
ปรับตั้งแต่เมื่อ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ยื่นใบลาออกจากทั้งตำแหน่งหัวหน้าและสมาชิกพรรครวมพลังประชาชาติไทย
เพราะนั่นคือเท่ากับเป็นการส่งสัญญาณทางการเมือง
ยิ่งคณะกรรมการบริหารพรรครวมพลังประชาชาติไทยประชุมและเห็นชอบให้ นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ เข้าดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
ยิ่งเป็นการตอกย้ำและยืนยัน
ยังสัญญาณอันมาจากที่ประชุมใหญ่พรรคพลังประชารัฐเห็นชอบให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นหัวหน้าพรรคแทน นายอุตตม สาวนายน ยิ่งเด่นชัด
เด่นชัดในความจำเป็นต้อง “ปรับครม.”
จากเดือนมิถุนายนเข้ามายังเดือนกรกฎาคมยังไม่มีวี่แววใดว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะส่งสัญญาณให้เห็นว่าจะมีการปรับ ครม.
ทาง 1 เป็นการยืนยันว่า “อำนาจ” อยู่ในมือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ขณะเดียวกัน ทาง 1 ก็เป็นการยืนยันด้วยว่า “อำนาจ” ที่อยู่ในมือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังจะขัดกับอำนาจ “อื่น” ในทางการเมือง
จากพรรคพลังประชารัฐ จากพรรครวมพลังประชาชาติไทย
เพราะยิ่งทอดเวลาเนิ่นนานก็เท่ากับว่าเป็นการให้ความชอบธรรมแก่ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
ทั้งๆ ที่เป็นโควต้าของพรรครวมพลังประชาชาติไทย
ยิ่งกว่านั้น การทอดเวลาเนิ่นนานออกไปเท่าใดก็ยิ่งจะทำให้อำนาจในมือของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไปปะทะกับกลุ่มอำนาจ “ใหม่” ในพรรคพลังประชารัฐ
ทำไมจึงว่าเป็นกลุ่มอำนาจ “ใหม่”
ขอให้ศึกษากระบวนการกดดันนับแต่การยื่นใบลาออกของ 18 กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐก็จะสัมผัสได้ว่าความขัดแย้งภายในพรรคพลังประชารัฐไม่ธรรมดา
เป็นความขัดแย้งที่ต้องการการแตกหัก
ยิ่งผลการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน ยิ่งแจ่มชัดว่าเป็นการรุกไล่อย่างชนิดที่เรียกว่า “ล้างบาง” ในทางการเมือง
ไม่เพียงแต่พุ่งเป้าเข้าใส่ นายอุตตม สาวนายน
หากแต่ทุกคนอันถือว่าเป็นเครือข่ายของ “กลุ่ม 4 กุมาร” ก็ถูกจัดการให้พ้นไปด้วย ไม่เว้นแม้กระทั่ง นายชวน ชูจันทร์ หรือ นายพรชัย ตระกูลวรานนท์
ถามว่ากลุ่มอำนาจ “ใหม่” ต้องการเพียงแค่นั้นหรือ
ยิ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทอดเวลาให้เนิ่นนานไปเพียงใด ยิ่งสร้างความไม่พอใจให้กับอำนาจอื่นอันมาจากพรรคพลังประชารัฐ พรรครวมพลังประชาชาติไทย เท่านั้น
นี่คือระเบิด “เวลา” ที่รอการ “ปะทุ”
ประหนึ่งว่าการเข้าดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะเป็นการเข้าไปจัดแถวภายในพรรคพลังประชารัฐ
อาจเป็นเช่นนั้น แต่ก็ไม่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด
เพราะอำนาจอย่างแท้จริงภายในพรรคพลังประชารัฐเป็นอำนาจจาก “จำนวน” ของ ส.ส.ซึ่งสามารถต่อรองและสำแดงพลังได้อย่างไม่ขาดสาย
ทั้งยังมีโอกาสท้าทายต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยตรง