นิสิต มศว ชวนตั้งคำถาม ‘คิด’ เพื่อ ‘อยู่ร่วมกัน’ เชื่อ ทุกคนอยากได้ ‘สังคมที่ดี’ ชี้ สันติภาพไม่ได้มาด้วยความรุนแรง
เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม เวลา 16.30 น. ที่ ลานเทาแดง มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร กลุ่ม “มศว คนรุ่นเปลี่ยน” จัดกิจกรรมแฟลชม็อบ #ให้มันจบที่รุ่นเรา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีประชาชนทยอยเดินทางมารอร่วมกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง ส่วนมากเป็นนักศึกษา ทั้งในและนอกเครื่องแบบ โดยบางส่วนสวมใส่เสื้อสีดำและนั่งจับกลุ่มนั่งรอร่วมกิจกรรมตามเวลานัดหมาย 17.00 น.
ทั้งนี้ โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน หรือ ไอลอว์ ได้ตั้งโต๊ะรณรงค์ล่า 50,000 ชื่อ เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 โดยมีผู้ร่วมลงชื่ออย่างไม่ขาดสาย ทั้ง นักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แกนนำเริ่มตั้งลำโพงหลายตัวบริเวณลานเทาแดง ภายในมหาวิทยาลัย ท่ามกลางการสังเกตการณ์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบหลายสิบนาย
เวลา 16.40 น. มีฝนตกลงมาอย่างหนัก ผู้ร่วมชุมนุมและเจ้าหน้าที่ตำรวจต่างวิ่งเข้าหลบฝนด้านหน้าอาคาร
เวลา 17.00 น. ฝนยังคงเทลงมาอย่างหนัก แกนนำประกาศเริ่มกิจกรรมภายใต้อาคาร โดยระบุว่า จะไม่หยุดปราศรัยแม้ฝนจะตก เพราะเราต้องการ สภาพร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ที่ออกมาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นของทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ใช่รัฐธรรมนูญลวง เหมือนฉบับปี 2560
เวลา 17.12 น. นิสิตชายมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ หนึ่งในผู้ชุมนุม ขึ้นปราศรัยถึงผลผลิตที่ผิดพลาดของระบบการศึกษา โดยกล่าวว่าที่ผ่านมาได้ดูการชุมนุม และปฏิกิริยาของคนที่ร่วมชุมนุม หลังดูได้ 1 เดือนจึงตัดสินใจออกมาพูด เพราะถ้าไม่พูดวันนี้จะไม่เหลืออะไรให้พูดวันหน้า
“สังคมทุกวันนี้ประชาชนถูกแบ่งแยกทางความคิด คนรุ่นผมคิดไม่เหมือนคนรุ่นก่อน แต่กลายเป็นว่าตอนนี้ความคิดชุดหนึ่งพยายามลดคุณค่าความคิดอีกชุดหนึ่ง ซึ่งเห็นด้วยกันทั้งสองฝ่าย ไม่สำคัญว่าความคิดแบบนี้ชังชาติ แบบนี้คือสลิ่ม ทำไมเราไม่เปิดอกคุยกันว่า ทำไมคุณถึงคิดแบบนี้ ทำไมคิดไม่เหมือนกัน แล้วเราจะหาวิธีอยู่ร่วมกันได้หรือไม่ มีแต่ไล่ออกนอกประเทศ ไล่ไปตาย แต่ทำไมไม่มีใครคิดเพื่อจะอยู่รวมกันได้ ตอนนี้เรากำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ไม่ใช่จะรอให้คนรุ่นเราเติบโต แล้วอีกรุ่นตายไป แต่เราต้องหาทางให้อยู่ร่วมกันได้”
นิสิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กล่าวว่า สำหรับตนการเมืองคือการจัดสรรผลประโยชน์ เราทุกคนมีความเท่าเทียมกันหนึ่งอย่าง คือเวลาในการหาเงิน
บางคนยากลำบาก บางคนแทบไม่ได้ทำอะไรก็ได้มา แต่การเมืองจะสามารถช่วยให้ทุกคนใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่น เพราะถ้าการเมืองดี ความคิดไม่เหมือนกัน ความต้องการไม่เหมือนกัน ก็ไม่ใช่เวลาเถียงว่าอะไรถูก อะไรผิด แต่จะต้องเปิดโอกาสให้ 2 ความคิดปะทะกันด้วยความสันติ คุยด้วยเหตุผล ไม่ใช่กดทับไว้
“มาร์ตินลูเธอร์กล่าวว่า I have a dream ผมก็มีความฝัน ความหวังเหมือนกันว่า อยากมีโรงเรียนที่ไม่ได้ผลิตคนให้เป็นเครื่องจักร ผมมีความฝันว่าคนต่างจังหวัดไม่จำเป็นต้องมาเรียนในโรงเรียนดังๆ ต้องการให้คนต่างจังหวัดเดินทางได้สะดวกเหมือนคนกรุงเทพฯ
ผมต้องการให้ทุกคนอยู่ในประเทศที่หาข้าวคุณภาพดี ราคาถูกกินได้ เรากินแต่ข้าวเหนียวหมูปิ้งกันมากี่ปีแล้ว
อยากได้ระบบประกันสุขภาพที่ดีให้พ่อแม่ จะได้ไม่ต้องรอนาน ในต่างจังหวัดก็เช่นกัน มันอาจดูเป็นความฝัน แต่ถ้าวันนี้เราทำให้การเมืองเป็นการเมืองจริงๆ ไม่ใช่ละครน้ำเน่า จัดสรรผลประโยชน์ให้เราได้ ผมเชื่อว่าจะไม่ใช่แค่ความฝัน แต่คือปลายทางที่เราจะเจอ ไม่รู้ว่าการเคลื่อนไหวจะเป็นอย่างไรต่อไปและผมไม่สน เพราะเชื่อมั่นว่าทุกคนอยากได้สังคมที่ดีกว่านี้”
จากนั้นผู้ชุมนุมต่างตะโกน “ใช่”
นิสิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กล่าวต่อว่า อย่าละทิ้งความฝันและอุดมการณ์ เชื่อเถอะว่าสักวันหนึ่งสังคมนี้จะเปลี่ยน
“คุณเคยตั้งคำถามกับชีวิตใหม่ว่ามีความสุขครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ไม่ต้องหาคำตอบก็ได้ แต่ทำไมเราต้องรีบตื่นตีห้า กินแค่ข้าวเหนียวหมูปิ้งเพราะกลัวไปโรงเรียนไม่ทัน ทำไมฟุตบาธถึงน้ำขัง ลองตั้งคำถามกับชีวิตประจำวัน จะรู้ว่าทำไมเราต้องทำการเมืองให้เป็นการเมือง”
“อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กล่าวไว้ว่า สันติภาพไม่ได้มาจากความรุนแรง แต่มาจากการที่เราเข้าใจกันและกััน” นิสิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กล่าว