สงครามครูเสดเป็นสงครามการเมือง ที่อ้างศาสนาเท่านั้นเอง

หมดเรื่องหมดราวการเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกากันเสียทีหลังจากขับเคี่ยวกันอย่างถึงพริกถึงขิงกันมาหลายเดือนซึ่งก็ให้บทเรียนสำหรับเมืองไทยว่าสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศประชาธิปไตยมีการเลือกตั้งกันทุก 4 ปี ซึ่งตั้งแต่ พ.ศ.2557-2563 เป็นต้นมาสหรัฐอเมริกาได้เปลี่ยนผู้นำประเทศคือ ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาไปถึง 3 คนแล้ว แต่ประเทศไทยยังคงมีนายกรัฐมนตรีอยู่เพียงคนเดียวเหมือนเดิม น่าคิดนะครับ

ครั้งนี้จึงอยากเขียนถึงเรื่องชวนคิดสักเรื่องเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศคือ เรื่องสงครามครูเสด ซึ่งมักถูกเข้าใจว่าเป็นสงครามศาสนาระหว่างศาสนาคริสต์กับศาสนาอิสลามในการแย่งชิงดินแดนปาเลสไตน์ โดยเฉพาะนครเยรูซาเลม ที่ถือเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ของทั้งศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลามเนื่องจากพระเยซูคริสต์ถูกตรึงไม้กางเขนที่นี่ ส่วนชาวมุสลิมก็เชื่อว่าศาสดาโมฮัมหมัดได้เสด็จขึ้นสวรรค์ เพื่อเข้าเฝ้าพระผู้เป็นเจ้าที่เมืองนี้เช่นกัน

ความจริงสงครามทุกสงครามต้องเป็นเรื่องของการเมืองทั้งสิ้น ต้นเรื่องคืออาณาจักรโรมันอันยิ่งใหญ่ได้มีการแบ่งอาณาจักรออกเป็น 2 อาณาจักร คือ อาณาจักรโรมันตะวันออกที่ย้ายแยกตัวออกจากอาณาจักรโรมันตะวันตกที่กรุงโรมเนื่องจากมีความต้องการมาคุมเส้นทางค้าขายระหว่างเอเชียกับยุโรปตรงช่วงทะเลดำกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียนโดยตั้งเมืองหลวงที่นครคอนแสตนติโนเปิล (ปัจจุบันคือนครอิสตันบูล ของตุรกี) ซึ่งเป็นเมืองที่คร่อมอยู่ทั้งทวีปยุโรปกับทวีปเอเชีย บรรดาสินค้าทั้งปวงจากเอเชียและยุโรปต้องผ่านที่นครคอนแสตนติโนเปิลนี้ เหตุผลในการแยกตัวออกเป็นสองอาณาจักรของอาณาจักรโรมันอันเกรียงไกรนี้ก็ออกจะชัดแจ้ง เพราะว่าทางอาณาจักรโรมันตะวันตกนั้นเศรษฐกิจขึ้นอยู่กับการเกษตรจึงเก็บภาษีได้น้อย ส่วนการเก็บภาษีจากการพาณิชย์ ย่อมได้มากกว่าการเก็บภาษีจากการเกษตรซึ่งกาลเวลาก็พิสูจน์ได้ชัดเลยว่าอาณาจักรโรมันตะวันตกล่มสลายก่อนอาณาจักรโรมันตะวันออกร่วมหนึ่งพันปีเลยทีเดียว เพราะว่ามีเงินน้อย ความมั่นคงก็น้อยเป็นธรรมดา

ครับ ! ใน พ.ศ.1614 (ตอนนั้นยังไม่มีอาณาจักรสุโขทัยนะครับ) พวกโรมันตะวันออกซึ่งใช้ชื่ออาณาจักรตัวเองว่าอาณาจักรไบแซนไตน์แพ้สงครามต่อพวกเซลจุกเตอร์กที่สมรภูมิเมนซีเคอร์ท (Manzikert) ในคาบสมุทรอนาโตเลีย กองทัพของอาณาจักรไบแซนไตน์ที่มีกำลังพลถึง 100,000 คนถูกกองทัพของเซลจุกเตอร์ก บดขยี้อย่างยับเยิน ซึ่งการพ่ายแพ้ครั้งนี้ ก็ถือเป็นอันสิ้นสุดการควบคุมเส้นทางการค้าระหว่างยุโรปกับเอเชียของอาณาจักรไบแซนไตน์ นอกจากนี้ พวกเซลจุกเตอร์กยังยึดครองดินแดนปาเลสไตน์รวมทั้งนครเยรูซาเลมด้วย ดังนั้นความมั่นคงของอาณาจักรไบแซนไตน์ จึงถูกคุกคามจากพวกเซลจุกเตอร์กโดยตรง
จักรพรรดิแห่งไบแซนไตน์ได้ขอความช่วยเหลือไปทางสันตะปาปาที่กรุงโรม ให้ช่วยระดมทัพของพวกฝรั่งทางยุโรปตะวันตกไปช่วยยึดดินแดนปาเลสไตน์ด้วย โดยอ้างเรื่องศาสนานี่แหละว่า พวกมุสลิม (อิสลามเป็นชื่อศาสนา ส่วนมุสลิมคือ คนที่นับถือศาสนาอิสลาม) นั้นได้ยึดครองนครเยรูซาเลมอันเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาคริสต์ บรรดาพวกฝรั่งที่นับถือศาสนาคริสต์ทางยุโรปตะวันตกควรที่จะต้องมาช่วยทำสงครามศาสนาเพื่อแย่งชิงเอาเมืองศักดิ์สิทธิ์นี้คืนมา ซึ่งความจริงก็คือต้องการที่จะยืมมือพวกฝรั่งตะวันตกไปรบกับพวกเซลจุกเตอร์กนั่นเอง

Advertisement

ตัวท่านสันตะปาปาประมุขของศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกที่กรุงโรม ขณะนั้นคือสันตะปาปาเออร์แบนที่ 2 ก็เริ่มเรียกร้องให้ฝรั่งตะวันตกไปช่วยรบกับพวกมุสลิมที่ตะวันออกกลางอย่างแข็งขัน โดยหวังว่าทางอาณาจักรไบแซนไตน์ที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายกรีกออโธดอกซ์ ซึ่งเป็นคนละพวกกับพวกคาทอลิกทางยุโรปตะวันตก จะหันมานับถือพระสันตะปาปาที่กรุงโรม ผู้เป็นพวกคาทอลิกเป็นประมุข เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณ

เมื่อพวกฝรั่งยุโรปตะวันตกบ้าจี้ตามสันตะปาปาเดินทางไปรบ โดยใช้ไม้กางเขนเป็นเครื่องหมาย คำว่าสงครามครูเสดก็คือ สงครามไม้กางเขนอันเป็นสัญลักษณ์ของศาสนาคริสต์นั่นเอง ทางอาณาจักรไบแซนไตน์ก็สนับสนุนที่พักและเสบียงอาหารอย่างเต็มที่ จนในที่สุดพวกครูเสดฝรั่งจากยุโรปตะวันตกสามารถตีนครเยรูซาเลมจากพวกมุสลิมได้ แล้วจึงสถาปนาอาณาจักร
ลาตินของตัวเองขึ้นในปาเลสไตน์ (ปาเลสไตน์เป็นชื่อของแคว้น ส่วน
เยรูซาเลมเป็นชื่อของเมือง) ขึ้นใน พ.ศ.1747

ต่อมาพวกมุสลิมภายใต้การนำของซาลาดิน แม่ทัพแห่งชาวมุสลิม ได้ขับไล่พวกฝรั่งออกไปจากปาเลสไตน์ได้สำเร็จใน พ.ศ.1804

Advertisement

สงครามครูเสดที่นับกันหลักๆ แล้วมีอยู่ 4 ครั้ง นับดูแล้วที่สำเร็จแบบไปแย่งนครเยรูซาเลมมาได้จริงๆ ก็เป็นเพียงสงครามครูเสดครั้งที่หนึ่งเท่านั้นสาเหตุจริงๆ ของสงครามศาสนาครูเสดที่โด่งดังก็คือ จักรพรรดิของอาณาจักรไบแซนไตน์ต้องการให้พวกฝรั่งตะวันตกมารบกับพวกเซลจุกเตอร์กที่คุกคามความปลอดภัยของอาณาจักรไบแซนไตน์เท่านั้นเอง ส่วนพวกฝรั่งจากยุโรปตะวันตกก็เต็มใจที่จะถูกหลอก เนื่องจากความโลภตัวเดียวเท่านั้น เนื่องจากไปรบแล้วเมื่อชนะก็ย่อมได้ทรัพย์สมบัติข้าทาสและมีอำนาจที่จะสร้างความมั่งคั่งต่อไปอีก ซึ่งโอกาสที่จะชนะก็มีมาก เพราะได้แรงหนุนจากอาณาจักรไบแซนไตน์สนับสนุนเสบียงอาหารและที่พัก นอกจากนี้ ก็ยังได้เงินทองจากผู้ปรารถนาจะทำบุญ (คือคิดว่าคงได้บุญ) ในการเดินทางไปฆ่าคน เพื่อยึดเอาเมืองศักดิ์สิทธิ์เยรูซาเลมกลับมาอยู่ในมือของพวกคริสต์อีกครั้งหนึ่ง แต่สงครามครูเสด 3 ครั้งหลังไม่เคยประสบความสำเร็จอีกเลย แต่ที่สนุกที่สุดในเรื่องสงครามครูเสดก็คือ สงครามครูเสดครั้งที่ 4 ครับ

สำหรับสงครามครูเสดครั้งที่ 4 พวกทหารฝรั่งทางยุโรปตะวันตกเดินทางมา โดยกองเรือของพวกเมืองเวนิสที่อยู่ทางตอนเหนือประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นเมืองของพวกพ่อค้าที่ค้ากับพวกตะวันออกกลาง (ท่านผู้อ่านบางท่านที่เคยอ่านบทละครของล้นเกล้าฯ ร.6 เรื่องเวนิสวานิชคงนึกออก) ก็เลยฉวยโอกาสยึดเอานครคอนแสตนติโนเปิล เมืองหลวงของอาณาจักรไบแซนไตน์เสียเลย เพราะง่ายกว่า รวยกว่า ทางพวกครูเสดยึดอาณาจักรไบแซนไตน์อยู่ตั้ง 60 ปี จึงถูกขับไล่ออกไปได้ พวกนิกายกรีกออโธดอกซ์ทางยุโรปตะวันออกยังคงแค้นพวกคาทอลิกมาจนถึงทุกวันนี้ ขนาดสันตะปาปาจอห์พอลที่สองยังต้องไปขอโทษอย่างเป็นทางการที่พวกที่อ้างว่าเป็นครูเสดนั้นได้รับการสนับสนุนจากสันตะปาปาในสมัยโน้นไปย่ำยีพวกคริสต์นิกายกรีกออโธดอกซ์ ตั้งแต่ครั้งกระโน้นเมื่อต้นปี 2001 นี้เอง

หากท่านผู้อ่านได้ไปเที่ยวเมืองเวนิส ของประเทศอิตาลีแล้ว ท่านจะเห็นใจพวกนิกายกรีกออโธดอกซ์มาก เนื่องจากบริเวณแลนด์มาร์กที่สิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่และสวยงามที่สุดของเมืองเกาะเวนิสคือ มหาวิหารเซ็นต์มาร์ค ซึ่งบริเวณหน้ามหาวิหารนั้นเป็นจัตุรัสใหญ่มีเสาหินสูงสง่าบนเสามีรูปปั้นสิงโตที่เป็นสัญลักษณ์ของเซ็นต์มาร์คนั้นเกิดขึ้น โดยพวกพ่อค้าเวนิสได้รื้อมหาวิหารของกรุงคอนแสตนติโนเปิลบรรทุกเรือลงมาสร้างขึ้นใหม่ที่เวนิสทั้งหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นหินอ่อน กระเบื้องมุงหลังคา ฝาผนัง แท่นบูชา ฯลฯ โดยตอนนั้นเจ้าพวกพ่อค้าเวนิสอยากจะสร้างเมืองเวนิสให้ยิ่งใหญ่เทียบเท่ากรุงโรม เมื่อกรุงโรมมีมหาวิหารเซ็นต์ปีเตอร์ ซึ่งเป็นมหาวิหารของลูกศิษย์คนโตของพระเยซูคริสต์ และเป็นสันตะปาปาองค์แรกของนิกายคาทอลิก ทางเวนิสก็เลยเอาเซ็นต์ มาร์คมั่ง แบบจะให้เทียมหน้าเทียมตากับเขา แต่ใช้วิธีปล้นเขามา น่าเศร้าใจ

เรื่องอ้างศาสนาในการสงครามนี่อันตรายนะครับ คนไทยน่าจะดูตัวอย่างอาณาจักรไบแซนไตน์ไว้บ้างก็ดีเหมือนกัน

โกวิท วงศ์สุรวัฒน์

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image