ครอบครัวเหยื่อเสาไฟฟ้าแรงสูงล้มทับเก๋ง สองพ่อและลูกสาวสาหัส ร้องขอความเป็นธรรมผ่านสื่อ เรื่อง “อืด” ไม่ได้รับความช่วยเหลือตามที่ตกลง พ่อเจ็บหนักกระดูกต้นคอหักต้องดึงกระดูกใส่เฝือกไปอีกนานหลายเดือน
ความคืบหน้ากรณีเสาไฟฟ้าแรงสูงล้มทับรถเก๋งของ 2 พ่อลูก ที่กำลังขับรถมุ่งหน้าเข้าตัวเมืองสงขลา เหตุเกิดบนถนนสาย สงขลา-ระโนด ใกล้กับป้อมตำรวจเกาะยอ ต.เกาะยอ อ.เมือง จ.สงขลา เมื่อช่วง 11 โมง ของวันที่ 1 พ.ย. ที่ผ่านมา ทำให้ทั้ง 2 พ่อลูกได้รับบาดเจ็บสาหัส โดยผู้เป็นพ่อหมดสติคารถ และกระดูกคอหัก ส่วนลูกสาววัย 9 ขวบ ใบหน้ากระแทกกับพื้นรถจากแรงเบรค และมีเศษกระจกบาดที่แขนและขา รวมทั้งปวดคอและปากช้ำ และมีการติดต่อมาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อที่จะให้การช่วยเหลือนั้น
วันที่ 16 ธ.ค. 63 รายงานข่าวว่าภรรยาของผู้บาดเจ็บได้โพสต์เกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น และขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งเข้ามาดูแลให้ความช่วยเหลือตามที่รับปากเอาไว้ด้วย พร้อมกับระบุว่า หากไม่เป็นข่าวสักที เรื่องคงเงียบ
รายงานข่าวว่าจากสอบถามเรื่องกับทางผู้บาดเจ็บที่เพิ่งออกจากโรงพยาบาล และเดินทางกับมาที่บ้านในพื้นที่ ม.2 ต.ชิงโค อ.สิงหนคร จ.สงขลา คือ นายอนุชาติ บุญมา อายุ 36 ปี บอกว่า ครอบครัวของตนพ่อแม่ลูกเป็นชาว จ.อุตดิตถ์ และย้ายมาทำงานที่ จ.สงขลา ในวันเกิดเหตุกำลังขับรถไปกับลูกสาว 2 คน เพื่อไปซื้อข้าวในตัวเมืองสงขลา
จู่ๆเมื่อขับมาถึงจุดเกิดเหตุได้สังเกตเห็นประกายไฟกะพริบขึ้นมาจากเสาไฟฟ้าริมทาง และจากนั้นก็มีสายไฟฟาดลงมาบนตัวรถ ตนจึงเบรกรถหยุดในทันที และหลังจากนั้นเพียงแค่เสี้ยววินาทีก็มีทั้งสายไฟและเสาไฟฟ้าแรงสูงหล่นทับใส่รถทันทีจนพังยับ และตนก็หมดสติลง ส่วนลูกสาวก็ได้นับบาดเจ็บหนักเช่นเดียวกัน
นายอนุชาติกล่าวว่า ในส่วนของลูกสาวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลอยู่นานเกือบ 1 สัปดาห์ได้รับบาดเจ็บที่ใบหน้า เศษกระจกบาดที่แขนและขา ปวดคอ และปากช้ำ ตอนนี้ลูกสาวอาการดีขึ้น และสามารถไปโรงเรียนได้แล้ว แต่ยังมีแผลเป็นที่หน้า
นายอนุชาติกล่าวว่าตนนั้นหลังเกิดเหตุได้พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสงขลา 1 วัน 1 คืนแพทย์วินิจฉัยว่า กระดูกต้นคอหัก และมีเลือดออกในสมอง แต่ในวันเกิดเหตุ ซึ่งเป็นวันอาทิตย์ และวันหยุด ยังไม่สามารถรักษา หรือทำการผ่าตัดได้ เนื่องจากไม่มีนายแพทย์ใหญ่เข้าเวร จึงขอย้ายไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลศิครินทร์ อ.หาดใหญ่
แพทย์แนะนำว่า ไม่ต้องผ่าตัด แต่ใช้วิธีการดึงกระดูกคอให้เข้าที่ราว 2-4 สัปดาห์ แล้วเข้าเฝือกต่อ เพื่อให้กระดูกประสานติดกัน เพื่อรักษาตามขึ้นตอนต่อไป และสามารถออกจากโรงพยาบาลกลับมาพักรักษาต่อที่บ้านได้เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 63 และแพทย์ยังให้ความเห็นว่า ต้องรับการรักษาต่อเนื่องอีกอย่างน้อย 120 วัน หรือประมาณ 3 เดือน
ด้าน น.ส.นิตยา แย้มอ้น อายุ 36 ปี ภรรยาของผู้บาดเจ็บกล่าวว่า ที่ออกมาโพสต์เรื่องราวดังกล่าว เพราะ ไม่ได้รับการตอบสนองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการให้ความช่วยเหลือ และอยากให้สื่อมวลชนช่วยเป็นสื่อกลางในการให้ความเป็นธรรม ซึ่งการที่ไม่อยากเป็นข่าวในช่วงแรก เพราะอยากเห็นหน่วยงานที่เกี่ยวเข้ามาให้ความช่วยเหลือกับทางครอบครัวก่อน
หลังเกิดเหตุนั้น ตนยังไม่มีเวลาที่จะเข้าไปทำเรื่องที่หน่วยงานดังกล่าว เนื่องจากต้องดูแลทั้งสามี ที่นอนเป็นผู้ป่วยติดเตียงไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ลูกสาวที่ได้รับบาดเจ็บหนักเช่นเดียวกัน แต่ในระหว่างนั้นก็ได้มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำกระเช้ามาเยี่ยม และบอกให้ทำเรื่อง เพื่อขอรับการเยียวยาตามขั้นตอน
ปรากฏว่าพอนำเอกสารหลักฐานหลักฐานไปยื่นจริงๆ กลับไม่เป็นเหมือนกับที่พูดเอาไว้ เพราะ สามารถช่วยเหลือได้แค่เงินเยียวยาทางด้านมนุษยธรรมเท่านั้น แต่ทางครอบครัวอยากให้ช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลตามความเป็นจริง รถยนต์เก๋ง โตโยต้า ยาริส ที่พังเสียหายทั้งคันด้วยเช่นกันและล่าสุดที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาติดต่อในวันที่ 26 พ.ย. 63 และเรื่องก็เงียบไปอีกเช่นเคย และสามียังคงต้องรักษาตัวต่อไปอีกนานหลายเดือนด้วย
ส่วนในทางคดีนั้น ทางพนักงานสอบสวน สภ.เมืองสงขลา จะนัดผู้บาดเจ็บเข้าให้ปากคำในปลายสัปดาห์นี้ เพื่อประกอบสำนวนคดี และดำเนินการในขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
นายอนุชาติ ผู้บาดเจ็บกล่าวว่า ในรถตนบูชาพระหลวงพ่อแดง วัดซับสมอทอด จ.เพชรบูรณ์ และมีสร้อยคอเสือ รุ่นพยัคทองเหลือ รุ่นแรก จากพระครูบุญช่วย วัดทองเหลือ ต.บ้านเกาะ อ.เมือง จ.อุตดิตถ์ ซึ่งเป็นบ้านเกิด ซึ่งเชื่อว่า ช่วยให้แคล้วคลาดปลอดภัยทั้งตนเองและลูกสาว