รัฐทั้งหลายในโลกนี้ไม่ว่าจะเรียกรูปแบบการปกครองชนิดใดล้วนแต่ต้องมี “ระบบป้องกันตนเอง”
1.ระบบยุติธรรม
เมื่อมีผู้ต่อต้าน รัฐจะอาศัยความชอบตามกฎหมายดำเนินคดีกับผู้ต่อต้านหรือผู้เห็นต่าง อ้างความเป็นไปตามหลักนิติรัฐ มีตำรวจ อัยการ ศาล และราชทัณฑ์เป็น “กลไก” สามารถใช้งานได้อย่างยืดหยุ่น พลิกแพลงตั้งแต่เบาไปหาหนัก
ในยุคที่เรียกว่า “อัศวินครองเมือง” รัฐใช้ครบตั้งแต่ การลอบสังหารไปจนถึงการจับไปตามกฎหมาย เอาไปคุมขังไว้พักหนึ่งแล้วจึงเบิกตัวใส่รถผู้ต้องหา พาไป “ยิงทิ้ง” พร้อมกับโยนความผิดไปให้ผู้ก่อการร้าย
2.ระบบความมั่นคง
มักใช้อ้างพร่ำเพรื่อครอบจักรวาลเพื่อปกป้อง “คณะบุคคล” ที่มีอำนาจรัฐ ส่วนใหญ่มักใช้ตำรวจกับทหารเป็นกลไกการทำงาน เริ่มตั้งแต่การหาข่าว การปรากฏตัวให้เห็นว่าติดตามคุกคาม
บ่อยครั้ง “ไม่แฟร์” มีการป้ายสีทำลายฝ่ายที่เห็นต่างอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
แต่เมื่อจบลงด้วยคำประกาศ “ใช้กระสุนจริง” ไม่ว่าจะอ้างเหตุอันใด “ผู้มีอำนาจรัฐ” ก็ทำเช่นนั้นไม่ได้
การใช้ “กระสุนจริง” ฆ่าคน เป็นการก่ออาชญากรรม !
การเมืองไทยติดหล่มก็เพราะก่อนจะมาถึงวันนี้ เคยมีเจ้าหน้าที่รัฐ “ใช้อาวุธสงคราม” และ “กระสุนจริง” ยิงคนตาย
ในประเทศที่บอกกับโลกว่าเป็น “นิติรัฐ” ต้องมีการดำเนินคดี
กลายเป็นภาระหนักอึ้งของ “ระบบยุติธรรม” !
คดีอาญาเริ่มตั้งแต่การสืบสวน สอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานทางคดี จากนั้นจึงนำสำนวนส่งให้พนักงานอัยการพิจารณาไตร่ตรองตรวจสอบ สั่งคดี
ถ้าฟ้อง คดีนั้นถูกนำสู่การพิจารณาในชั้นศาล
ตามหลักกฎหมาย ทุกคนเสมอภาคกัน !
ถึงแม้ “เจ้าหน้าที่รัฐ” ที่ใช้อาวุธสงครามและกระสุนจริงยิงคนตายนั้น “มีอยู่จริง” แต่ตราบใดที่ยังไม่มี “คำพิพากษา” ว่าผิด ก็ยังต้องถือว่าผู้ถูกกล่าวหาหรือจำเลยนั้นเป็น “ผู้บริสุทธิ์”
สถานะของ “เพนกวิน” หรือ พริษฐ์ ชิวารักษ์ กับผู้ถูกกล่าวหาในคดีการเมืองทุกคนที่ “ต่อต้านอำนาจรัฐ” ก็ยังเป็นผู้บริสุทธิ์
คนกลุ่มนี้ต่อสู้ในระบบ
ไม่ใช่ “นอกระบบ” เฉกเช่น การต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในอดีต หรือการก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้
อย่าคิดถึงแต่ “การป้องกันตนเอง”
ระบบปฏิบัติการทั้งหลายต้องให้ “ความยุติธรรม” กับผู้ที่ต่อสู้ในระบบ !?!!