ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นจำคุกนายอมเรศและนายวิชรัตน์ เป็นเวลา 2 ปี ปรับ 20,000 บาท โดยโทษจำคุกรอลงอาญา 3 ปี ขณะนายอมเรศเตือนคนรุ่นหลังที่คิดจะทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมให้คิดให้ดี
เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม ศาลอาญานัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ในคดีที่พนักงานอัยการคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ ฟ้องนายอมเรศ ศิลาอ่อน อดีตประธานคณะกรรมการองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน หรือ ปรส. และนายวิชรัตน์ วิจิตรวาทการ อดีตเลขาธิการ ปรส. พร้อมกับพวกรวม 6 คน เป็นจำเลยในความผิดฐานกระทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การ หรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 11
สืบเนื่องจากกรณีระหว่างวันที่ 2 มิ.ย.-1 ต.ค. 2541 จำเลยที่ 1-2 มีมติให้มีการจำหน่ายสินทรัพย์หลักการเช่าซื้อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงิน 56 แห่ง เมื่อวันที่ 13 ส.ค. 2541 ซึ่งได้ข้อกำหนดเพิ่มเติมอีกหลายประการ เอื้อประโยชน์ให้บริษัทเลห์แมน บราเธอร์ส โฮลดิ้ง อิงค์ จำกัด จำเลยที่ 3 ที่เข้าร่วมประมูล โดยเมื่อถึงวันทำสัญญากลับมีการวางแค่เงินประกัน 10 ล้านบาท และยังไม่ได้ชำระเงินงวดแรก จึงเป็นการไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย และยังทำให้เกิดการยกเว้นภาษี ส่งผลให้รัฐเสียหาย
ศาลฎีกาประชุมตรวจสำนวนพิเคราะห์แล้วเห็นว่าจำเลยที่ 1 และ 2 ทำให้การประมูลขายทรัพย์สินไม่โปร่งใส ไม่คำนึงจำเลยที่ 3 ที่เป็นนิติบุคคลต้องห้ามในการเข้าร่วมประมูล เนื่องจากเป็นบริษัทในเครือของนายชาร์ล เจสัน รูบิน ที่ปรึกษา ปรส.จำเลยที่ 4 ทำให้การจัดการประมูลมีผู้ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ การกระทำของจำเลยที่ 1 และ 2 จึงเข้าข่ายการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
ศาลฎีกาจึงไม่เห็นพ้องกับศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุกนายอมเรศและนายวิชรัตน์เป็นเวลา 2 ปี ปรับ 20,000 บาท โดยโทษจำคุกรอลงอาญา 3 ปี
สำหรับคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกนายอมเรศและนายวิชรัตน์ 2 ปี ปรับ 20,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษ 3 ปี ส่วนจำเลยที่ 3-6 ยกฟ้อง ขณะที่ชั้นศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ยกฟ้องนายอมเรศและนายวิชรัตน์ ซึ่งจำเลยทั้งสองได้ประกันตัวและมาฟังคำพิพากษาศาลฎีกาในวันนี้
ด้านนายอมเรศ เปิดเผยภายหลังฟังคำพิพากษาเพียงว่า ตนยอมรับคำตัดสินของศาล ยืนยันที่ผ่านมาตนทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมตลอด จึงอยากเตือนคนรุ่นหลังหากจะทำอะไรเพื่อส่วนรวมก็ขอให้คิดให้ดี เพราะเรื่องส่วนตัว ผลที่ออกมาสุดท้ายก็เป็นเรื่องส่วนตัวอยู่ดี