‘อมรัตน์’ จี้ ปฏิรูปก.ยุติธรรม หลังลดงบดูแลนักโทษ แต่มีไม่อั้นใช้ปราบผู้ชุมนุม

‘อมรัตน์’ จี้ ปฏิรูปก.ยุติธรรม หลังลดงบดูแลนักโทษ แต่มีไม่อั้นใช้ปราบผู้ชุมนุม ตกต่ำขั้นสุด คว้า คนค้าแป้ง มาเป็นรมต. ชี้ เรือนจำอาจเป็นบ้านหลวงหลังสุดท้าย ‘ประยุทธ์’

ต่อมาเวลา 20.15 น. นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) อภิปรายว่า งบประมาณยุติธรรมนั้นถูกปรับลดลงประมาณ 2,000 กว่าล้านบาท (ลดลง 10% จากปี 2563) มียกเว้นแค่เพียงสำนักงานอัยการสูงสุดที่ได้รับปรับเพิ่ม 1,000 ล้านบาท หากจะอ้างจากสถานการณ์ โควิด-19 ก็ไม่สามารถเข้าใจได้เพราะ งบจัดหายุทโธปกรณ์ของกองทัพบกและกองทัพเรือ ปรับเพิ่มขึ้นถึง 2,000 กว่าล้านบาท ทั้งนี้ เราต้องมีการปรับกระบวนการยุติธรรมอย่างเร่งด่วน การขอเวลาอีกไม่นานคือการโกหกในตำนาน เพราะนานาชาติต่างตั้งคำถามและประณามปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทย ที่มีการประกาศใช้พระราชกำหนดฉุกเฉินและการรวบอำนาจเข้าสู่ตัวนายกรัฐมนตรี ที่มุ่งดำเนินคดีกับผู้เห็นต่างโดยเอาข้ออ้างสถานการณ์ โควิด-19 มาบังหน้า

นางอมรัตน์ กล่าวว่า แต่เรื่องที่รับไม่ได้และสร้างความอึดอัดทางการเมืองคือ การวินิจฉัยสถานภาพรัฐมนตรีสีเทาที่เป็นนักโทษคดียาเสพติดในต่างประเทศให้สามารถดำรงตำแหน่งการเมืองในระดับสูงคือ เป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรี (ครม.) ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาที่ทำให้วิกฤตศรัทธาของกระบวนการยุติธรรมไทยมาถึงจุดสิ้นสุด งบประมาณกับบวนการยุติธรรม จะต้องเห็นความสำคัญอย่างยิ่งยวดกับการปฏิรูปโดยต้องยอมลงทุนเพิ่มเข้าไปให้มากขึ้น

โดยปีนี้ กองทุนยุติธรรมที่เป็นแหล่งเงินทุนเพื่อช่วยเหลือประชาชน เรื่องการดำเนินคดี การประกันตัว การถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนช่วยเหลือคนจนและคนยากไร้ ถูกปรับลดงบอุดหนุนถึง 5 เท่าจาก 150 ล้านบาทเหลือเพียง 30 ล้านบาทเท่านั้น และยังมีความล่าช้าในการดำเนินการ ทำให้คนต้องติดคุกนานนับเดือน

กรมราชทัณฑ์เป็นหน่วยงานที่ใหญ่ที่สุดในกระทรวงยุติธรรม มีผู้ต้องขังที่ต้องดูแลทั้งหมด 310,830 คน ตอนนี้มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ไปแล้วกว่า 25,000 คน สืบเนื่องมาจากการบริหารจัดการที่ไร้ประสิทธิภาพ และการจัดงบประมาณให้เรือนจำแต่ละแห่งเฉลี่ยแล้วเดือนละ 5,300 บาทต่อเรือนจำ การบริหารจัดสรรงบประมาณแผ่นดินที่ผิดพลาดเช่นนี้เกิดจากความไร้วิสัยทัศน์ขาดวินัยในการบริหารวิกฤตของชาติแต่อยากเป็นใหญ่ ของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประเทศการบริหารทำให้ประเทศหมด

Advertisement

นางอมรัตน์ อภิปรายว่า รัฐบาลมีงบเพียงพอเสมอสำหรับอาวุธยุทโธปกรณ์ เช่น ตู้คอนเทนเนอร์ มีงบปราบปรามผู้ชุมนุมไม่อั้นแต่ไม่มีงบพอสำหรับเรือนจำและศาลซื้อกำไลอีเอ็ม ส่วนงบพัฒนาบำบัดปรับปรุงพฤติกรรมนิสัยผู้ต้องขัง ที่จัดงบให้เพียง 93 ล้านบาทต่อนักโทษ 3 แสนคน หารแล้วได้แค่ 85 สตางค์ต่อวันต่อคน เป็นงบไม่เต็มบาท และส่วนใหญ่เป็นกิจกรรมที่ให้พระสงฆ์เข้ามาเทศน์ และในชั้นสอบสวนตำรวจก็ให้บอกว่าแนะนำว่าให้รับผิดไปก่อน เดี๋ยวค่อยไปสู้คดีทีหลัง การแนะนำแบบนี้ทำให้มีแพะรับบาปจำนวนมาก เหมือนที่ประชาชนถูกหลอกให้ไปรับรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ตนเคยอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์กรณีบ้านหลวง ใช้น้ำไฟฟรี ผิดกฎหมาย ป.ป.ช.รับทรัพย์สินอื่นใดเกิน 3 พันบาท จนถึงตอนนี้ท่านก็ยังไม่ได้แก้ข้อกล่าวหา ไม่แสดงหลักฐานการเสียภาษี มาถึงวันนี้ตนจะพูดถึงบ้านหลวงหลัง สุดท้ายของ พล.อ.ประยุทธ์ ถ้าท่านไม่ชิงออกนิรโทษกรรมให้ตัวเองเสียก่อน เรือนจำจะเป็นบ้านหลวงหลังสุดท้ายของ พล.อ.ประยุทธ์

“ดิฉันเรียกร้องให้ส่องแสงไฟเปลี่ยนมุมมองให้กระบวนการยุติธรรม เป็นกระบวนการยุติธรรมที่พึงประสงค์ หยุดข่มขู่คุกคามประชาชนถึงบ้าน ปฏิรูปให้มีมาตรฐานในการดำเนินคดี ปฏิบัติต่อทุกฝ่ายอย่างเสมอภาคเท่าเทียม หยุดใช้ความยุติธรรมสองมาตรฐานแบบที่เป็นอยู่นี้ ที่อีกฝ่ายแค่หายใจแรงๆ ก็บอกว่าผิด แต่อีกฝ่ายหนึ่งแม้จะค้ายาเสพติดข้ามชาติ ก็คว้ามาเป็นรัฐมนตรีเพราะว่ามันคือแป้ง” นางอมรัตน์ กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image