‘วโรดม ปัญจมาวัฒนา’ แฟนพันธุ์แท้ลิเวอร์พูล2015 ‘หงส์แดงจะกลับมาผงาดอีกครั้ง’

“การแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2011-2012 มีการแข่งขันอยู่นัดหนึ่งที่ เปเป้ เรน่า ผู้รักษาประตูของลิเวอร์พูลถูกใบแดงไล่ออกจากสนาม ส่งผลให้นักเตะลิเวอร์พูลคนหนึ่งมารับบทเป็นผู้รักษาประตูจำเป็นแทน”

“คำถามคือ ใครมาเป็นผู้รักษาประตูแทน และเป็นการแข่งขันกับทีมใด”

หลังจากที่ผู้เข้าแข่งขันอีกคนหนึ่งตอบพลาดไป นี่่จึงเป็นคำถามเพื่อตัดสินว่า ใครจะเป็นผู้ชนะ ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความกดดันที่กระจายไปทั่วในห้องส่งรายการ

แต่ทว่า ยังไม่ทันสิ้นเสียงคำถาม เสียงคำตอบก็เข้ามาแทนที่แทบจะทันที

Advertisement

“นัดนี้ เปเป้ เรน่า โดนไล่ออกเพราะตบะแตก เอาหัวไปโขกผู้เล่นฝ่ายตรงข้าม ขณะที่ทีมโดนนำอยู่ 2-0 ขณะที่ลิเวอร์พูลเปลี่ยนตัวครบ 3 คนแล้วครับ” เขาเริ่มต้นเล่าอย่างสบายๆ พร้อมรอยยิ้มแห่งความมั่นใจ

“ดังนั้น คนที่มาเป็นผู้รักษาประตูแทนคือ โฆเซ เอ็นริเก้ เเบ๊กซ้ายของทีมในนัดนั้น”

“ส่วนคู่แข่งคือทีมนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ซึ่งสุดท้ายก็เอาชนะไปได้ด้วยสกอร์ 2-0 จาก ปาปิล ซิสเซ่ ทั้งสองลูก”

Advertisement

“ขอตอบว่า นักเตะคนนั้นคือ โฆเซ เอ็นริเก้ และคู่แข่งคือทีมนิวคาสเซิล ครับ”

และนั่นเป็นคำตอบที่ส่งให้ “วโรดม ปัญจมาวัฒนา” หรือต้น กลายเป็น “แฟนพันธุ์แท้ลิเวอร์พูล” คนที่ 3 ของประเทศ

เกิดเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2527 เป็นบุตรชายของคุณพ่อประวิช ปัญจมาวัฒนา และคุณแม่จันทร์เพ็ญ จันทรโยธา

จบการศึกษาในระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนเซนต์จอห์น และมัธยมศึกษาที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี คณะวิทยาศาสตร์ สาขาเคมี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

แต่ด้วยความที่เจ้าตัวอยากเรียนรู้เรื่องระบบทำงานของสมอง จึงได้ศึกษาต่อในระดับปริญญาโท ด้านประสาทวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พอเรียนรู้จนเป็นที่พอใจแล้วจึงได้ตัดสินใจลาออกโดยที่ไม่ได้ทำทีสิสส่งให้จบ

วโรดมอธิบายว่า จริงๆ แล้วเขาแค่อยากรู้ว่าสมองคนเราทำงานอย่างไรก็เพียงเท่านั้น อีกทั้งคะแนนสอบก็ไม่ได้เลวร้ายอยู่ที่ 3.5 แต่ไม่มีแรงบันดาลใจที่จะทำทีสิสส่งอาจารย์ จึงไม่ได้ตัดสินใจเรียนต่อให้จบ

“มีหลายคนถามว่าทำไมไม่เรียนให้จบ ตรงนี้ผมมองว่าบางทีสังคมไทยก็ยึดติดในเรื่องของปริญญามากเกินไป ทั้งที่ความจริงเราควรที่จะเรียนเพราะเราอยากที่จะรู้นั่นเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า” เขาตอบพร้อมรอยยิ้ม

กลับมาที่เรื่องของ “ฟุตบอล”

ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน คงใช้พูดถึงความสำเร็จของชายคนนี้ได้เป็นอย่างดี

จากการดูฟุตบอลครั้งแรกในฟุตบอลโลกปี 94 เมื่ออายุได้ 10 ขวบ มาสู่รักแรกและรักเดียวที่มีต่อสโมสรฟุตบอล “ลิเวอร์พูล” ในวัย 12

ระยะกว่า 20 ปีในการทำในสิ่งที่ตนเองรักอย่างอดทนและมีมานะ จนท้ายที่สุด “ความรัก” ที่ว่าก็ได้ผลิดอกออกผล

วันนี้ เราจะมาพบกับจุดเริ่มต้นเรื่องราวทั้งหมดและอีกหลากหลายมุมในชีวิตไปพร้อมๆ กัน

กับแฟนพันธุ์แท้ลิเวอร์พูล 2015 ได้ในบรรทัดถัดไป

จุดเริ่มต้นของการดูฟุตบอลครั้งแรก?

คือทางครอบครัวทั้งคุณแม่และคุณตาชอบดูกีฬาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คือเขาจะไล่ดูตั้งแต่ซีเกมส์ เอเชี่ยนเกมส์ ฟุตบอลโลก ซึ่งตัวเองตอนนั้นยังเด็กมาก ยังไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษ เวลาครอบครัวดูอะไรเราก็ดูด้วย แต่ถ้าถามว่าดูฟุตบอลครั้งแรกเมื่อไรก็ต้องบอกว่าตอนฟุตบอลโลกปี 94 ตอนนั้นจำนักฟุตบอลได้อยู่คนเดียวเลยคือ โรแบร์โต้ บักโจ้ ปีนั้นบักโจ้เก่งมากพาอิตาลีเข้าถึงรอบชิง แต่ไปยิงจุดโทษพลาดทำให้ทีมแพ้

พอจบทัวร์นาเมนต์ก็ยังไม่ได้สนใจอะไร พอโตขึ้นอายุ 11 ขวบ จำได้ว่าวันนั้นหยุดเรียนไม่มีอะไรทำ วันนั้นช่อง 7 สี เอารีรัน เอฟเอ คัพ มาฉายซ้ำให้ดูตอน 10 โมง เราก็นั่งดูแล้วรู้สึกว่าสนุกดี แล้วคู่นั้นไม่ใช่ลิเวอร์พูลด้วยนะ เป็นน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ กับท็อตแนม ฮอตสเปอร์ คู่นี้บุกแลกกันมันมาก เสมอกัน 2-2 มันทำให้เริ่มชอบฟุตบอลตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา

แล้วมาชอบ (รัก) ลิเวอร์พูลได้ยังไง?

ถามว่าชอบลิเวอร์พูลตั้งแต่ตอนไหน ต้องบอกว่าเป็นเพราะสะดุดชื่อจากนักเตะคนหนึ่ง ในช่วงฤดูกาล 1995-1996 ตอนนั้นเรายังเด็กเราก็ฟังชื่อเขาผิดไปเป็นว่า “สตีฟ แม็คปานามา” เราก็คิดคนอะไรชื่อ แมคปานามา วะ (หัวเราะ) ทีมอะไรมีคนชื่อแปลกๆ เอาชื่อประเทศมาเป็นชื่อแบบนี้อยู่ด้วย พอเริ่มติดตามเลยรู้ว่าจริงๆ เขาชื่อ สตีฟ แม็คมานามาน แล้วช่วงนั้นลิเวอร์พูลเริ่มเกมรุกสนุกมากเป็นยุค “สไปซ์ บอย” ที่มีทั้ง ร็อบบี้ ฟาวเลอร์, สตีฟ แม็คมานามาน, เจมี่ เรดแน็ปป์, เดวิด เจมส์, เจสัน แม็คเคเทียร์, สแตน คอลลีมอร์

แต่จุดสำคัญที่ทำให้ปักใจเชียร์ลิเวอร์พูลอย่างจริงจังก็คงเป็นการได้ดูการถ่ายทอดสดระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด วันที่ 3 เมษายน 1996 ซึ่งถูกเรียกว่าเกมแห่งทศวรรษของพรีเมียร์ลีก ตอนนั้นใจเราก็เอนเอียงไปทางลิเวอร์พูลอยู่แล้วก็เชียร์ลิเวอร์พูล ตอนแรกลิเวอร์พูลยิงนำก่อน 1-0 โดยร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ก่อนที่นิวคาสเซิลแซงนำ 2-1 โดยเลส เฟอร์ดินานด์ และดาวิด ซิโนล่า ก่อนที่ลิเวอร์พูลตีเสมอ 2-2 โดยฟาวเลอร์อีกครั้ง นิวคาสเซิลก็มายิงนำอีก 3-2 จากอัสพริย่า แต่เชื่อมั้ย อีกสองนาทีถัดมา ลิเวอร์พูลตีเสมอเป็น 3-3 โดยคอลลีมอร์ แล้วที่เหลือเชื่อที่สุดคือนาทีสุดท้าย คอลลีมอร์ มายิงประตูชัยให้ลิเวอร์พูลเอาชนะไปได้ 4-3

คือมันเป็นเกมที่สนุกมาก แลกกันทั้งเกม เพราะแต่ก่อนแทคติคน้อยกว่าปัจจุบัน อารมณ์มึงบุกมากูบุกกลับ หลังจากจบเกมปุ๊บเราเลยตัดสินใจเลยว่าจะเชียร์ลิเวอร์พูลเป็นทีมรักในทันที

ความชื่นชอบมีมากขนาดไหน

ถ้าถามว่าบ้าขนาดไหนก็ถึงขั้นที่ต้องดูทุกแมตช์ ถ้ามีถ่ายทอดจะต้องขวนขวายหาดูให้ได้ เริ่มต้นที่จะซื้อหนังสือพิมพ์กีฬาโดยเฉพาะซอคเก้อร์, สยามกีฬา, ทันโลกกีฬา, ลิเวอร์พูลรายเดือน ซื้อทุกวัน ซื้อมาเป็นสิบปีจนถึงวันนี้ก็เก็บไว้อยู่นะ แต่มีบางส่วนก็โดนปลวกกินไปบ้าง แล้วยิ่งพอได้ไปเรียนที่สวนกุหลาบเป็นโรงเรียนชายล้วนนี่ยิ่งพีคเลย เพราะกีฬาฟุตบอลกับโรงเรียนชายล้วนเป็นอะไรที่แยกกันไม่ออกอยู่แล้ว ช่วงนั้นสมัยมัธยมต้นเตะบอลกับเพื่อนๆ แทบทุกวัน อยากเป็นฟาวเลอร์ก็เอาปลาสเตอร์ยามาแปะจมูก คือเป็นแฟชั่นของเด็กลิเวอร์พูลสมัยนั้นแทบทุกคน บางทีแปะกันสามสี่คนในสนามเพราะอยากเป็นฟาวเลอร์เหมือนกันก็ไม่มีปัญหา (หัวเราะ)

พอมาสมัยเรียนมัธยมปลายก็มั่นใจแล้วว่าถ้าเป็นเรื่องลิเวอร์พูลกับเพื่อนๆ ร่วมรุ่นนี่ไม่แพ้ใครแน่ๆ สมัยนั้นเพื่อนก็เริ่มมาถามแล้วว่า ทำไมทีมไม่ซื้อคนนี้ แมตช์ย้อนหลังสามสี่ปีก่อนใครชนะ ใครยิง เราก็ตอบไปได้ทั้งหมดตามข้อมูลที่เราอ่านมาทั้ง ซอคเก้อร์ รวมไปถึงเว็บไซต์ซึ่งเป็นคลังความรู้ใหม่ในสมัยนั้น

DSC_0194_1500x994

อะไรที่ทำให้เราต้องศึกษาข้อมูลมากขนาดนั้น

บ้า จริงๆ ความบ้าเนี่ยแหละ (หัวเราะ) ช่วงหนึ่งต้องเข้าเว็บทุกวัน พอพักเที่ยงก็ต้องวิ่งไปห้องอินเตอร์เน็ตเพื่อจองคิวเข้าเว็บไซต์ฟุตบอล เข้าพวกเว็บบอร์ดฟุตบอลต่างประเทศเราก็เข้าไปพิมพ์ภาษาอังกฤษโต้ตอบกับพวกเขา เข้าเว็บไซต์ลิเวอร์พูล ใช้เน็ต 56 เคบี เข้าเนี่ยแหละ รอโหลดนานแค่ไหนก็รอเพื่อเข้าไปอ่านข้อมูลก่อนเกม คาดการณ์ 11 ตัวผู้เล่น ดูสถิติข้อมูลต่างๆ ย้อนหลัง เพราะเราเป็นคนที่ชอบอ่านเรื่องราว ชอบศึกษาข้อมูลประวัติศาสตร์ สถิติข้อมูลเหล่านี้มันบ่งชี้อะไรหลายๆ อย่าง ทำให้เราเห็นเลยว่าทีมนี้แพ้ทางกัน ทีมนี้เป็นของแข็งหรือขนมกรุบกรอบ คือดูแบบนี้ทุกวันจนติดเป็นนิสัยจนมาถึงทุกวันนี้

จำข้อมูลทั้งหมดนี้ได้อย่างไร?

เป็นเพราะมันอ่านทุกวัน คือมันมีกฎ 10,000 ชั่วโมง ว่าหากเราทำอะไรเกิน 10,000 ชั่วโมง เราจะเป็นเลิศในด้านนั้น คิดว่าตัวเราเองก็น่าจะเข้าข่ายกฎนี้ เอาจริงๆ ตอน ม.ต้นมาถึง ม.ปลาย ความรู้เรื่องลิเวอร์พูลปึ้กกว่าตอนนี้อีก ตอนนั้นจำได้ถึงขนาดที่ว่า ผลการแข่งขันระหว่างลิเวอร์พูลกับทีมอื่นๆ ย้อนหลังกลับไป 5 ปี จำได้ทั้งหมด คือตอนนั้นพีคกว่าตอนนี้ เพราะเราอ่านทุกวัน ดูทุกวัน ขลุกอยู่กับสถิติข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ทุกวัน วันละไม่ต่ำกว่า 8-10 ชั่วโมง

ถามว่าทำไมตอนนี้จำได้น้อยลงกว่าแต่ก่อน ก็เพราะคนเราพอเติบโตขึ้นก็ต้องมีภาระหน้าที่ มีครอบครัวที่ต้องดูแล มีอะไรหลายๆ อย่างที่กระจายความสนใจของเราออกไป อย่างเด็กๆ มันก็มีเรื่องการเรียนที่เป็นอันดับหนึ่ง ลิเวอร์พูลเป็นที่สอง หรือบางครั้งก็เป็นที่หนึ่งมากกว่าการเรียน (หัวเราะ) ทุกวันนี้มันทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว

ทำไมถึงชอบจำเรื่องสถิติและตัวเลข?

ส่วนตัวเป็นคนชอบข้อมูลแบบนี้ จริงๆ แล้ว สถิติและตัวเลขถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก และทำให้เกิดการพัฒนาขึ้นได้สำหรับวงการกีฬา ตัวเลขทำให้เราเห็นอะไรหลายๆ อย่าง ที่เรามองไม่เห็น อย่างเราเห็นว่านักเตะเบอร์ 10 คนนี้จ่ายบอลดี จ่ายบอลสวยๆ ได้หลายลูก แต่พอเรามาดูสถิติเรากลับเห็นว่ามีอัตราความสำเร็จอยู่ที่ 50 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่เบอร์ 16 ลีลาอาจไม่หวือหวา แต่อัตราการการจ่ายบอลสำเร็จอยู่ที่ 81 เปอร์เซ็นต์ ตรงนี้ทำมันทำให้เราตัดสินใจได้ว่า ถ้าเราต้องการความแน่นอน เราต้องใช้เบอร์ 16 แต่ถ้าเราต้องการลูกได้เสียจ่ายบอลครึ่งๆ เราก็ต้องใช้เบอร์ 10 มันทำให้เราสามารถจัดการนักกีฬาได้ตามความเหมาะสม

ไม่เพียงเท่านี้ หากลีกมีการเก็บสถิติมันทำให้เห็นว่า ทำอย่างไรแฟนบอลจึงจะมีมากขึ้นได้ เช่น อย่างพรีเมียร์ลีก หากปีนี้ยิงประตูกันได้มากแฟนบอลปีถัดไปก็มีมากขึ้น คือเรื่องนี้อยากฝากบริษัทไทยพรีเมียร์ลีกว่า หากให้ลีกมีการจัดอันดับจะต้องมีความสนใจในเรื่องตัวเลขและสถิติกันมากขึ้น ตัวเลขพวกนี้สามารถสร้างความตื่นเต้นได้ เช่น นักเตะคนนี้ยิงเท้าซ้ายกี่ประตู เท้าขวากี่ประตู ความดังของเสียงเชียร์ในสนามแต่ละสนามมีมากเท่าไร คือมันสามารถเป็นสีสันของลีกได้ ถ้าเราเอามาใช้ให้ถูกวิธี

แล้วอะไรทำให้อยากมาแข่ง “แฟนพันธุ์แท้”

รายการแฟนพันธุ์แท้นี่เป็นรายการที่ดังมาตลอด ตั้งแต่เริ่มแรกสมัย ม.5 จนถึงทุกวันนี้ มันเป็นรายการที่ว่า ถ้าเราเจ๋งเรื่องอะไรเราต้องไปออก เอาคน 5 คนมาแข่งขันกันเพื่อแสดงความชอบ ความรักในสิ่งๆ หนึ่ง เราก็คิดว่าถ้าวันหนึ่งเราได้ไปยืนอยู่ตรงนั้นก็คงจะดี วันหนึ่ง พอดูรายการก็มาเห็นว่ามีแฟนพันธุ์แท้ลิเวอร์พูลด้วย ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกสุดที่มีจัด เราก็แบบ เห้ยมีด้วยเหรอ ทำไมเราไม่รู้เรื่องว่าเขาจะมีแข่งกัน คืออยากไปมาก ตอนที่ดูต้องบอกตอบได้แทบทุกข้อราว 90 เปอร์เซ็นต์ ครั้งที่สองก็ไม่รู้ว่าจะมีแข่งเหมือนกัน แต่พอมาครั้งนี้รู้ว่ามีแข่งในเฟซบุ๊ก พอเรารู้ปุ๊บก็สมัครทันทีโดยแทบไม่ต้องคิด เพราะมันเป็นความฝันของเรา

มีเวลาแค่ 10 กว่าวันก่อนแข่ง เตรียมตัวอย่างไร?

ก็ซื้อหนังสือ บุ๊ก ออฟ เรคคอร์ด ที่มีสถิติตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรถึงปัจจุบันมาอ่าน นั่งดูดีวีดีซีซั่นรีวิวอย่างต่ำวันละ 1 ฤดูกาล รวมถึงขอความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ แฟนลิเวอร์พูลให้ช่วยตั้งคำถามคนละ 10 ข้อต่อวัน วันละ 10 คน เฉลี่ยวันละ 100 ข้อ คือเวลาจะเตรียมตัวอะไรจะไปจดจำข้อมูลอย่างเดียวไม่ได้ ที่ทำแบบนี้เป็นเพราะเราเชื่อว่าเวลาที่คนเราตั้งคำถามจะเริ่มจากคำถามไปยังคำตอบ ไม่ใช่ตั้งคำตอบก่อนแล้วจึงค่อยไปคิดคำถาม ดังนั้น ก่อนแข่งเราต้องเจอคำถามกว่า 1,000 ข้อ ที่สำคัญ เราจะต้องคิดคำถามให้โรคจิตไปอีกขั้นหนึ่ง (หัวเราะ)

อีกอย่างเราต้องรู้ว่านี่คือเกมโชว์ เราต้องอ่านเกมให้ได้ว่ารูปแบบเกมเป็นอย่างไรแล้วเตรียมตัวมาอย่างนั้น เกมนี้ไม่ได้แข่งกับคนอื่นแต่เป็นเกมที่แข่งกับตัวเอง เหมือนยิงจุดโทษแล้วทางรายการยิงคำถามมาเรื่อยๆ เราต้องรู้ว่าเขาถนัดยิงไปทางซ้ายหรือทางขวา ทำการบ้านและลงแข่งขัน ถ้าเปรียบข้อมูลเป็นมหาสมุทรกว้างๆ เราไม่มีทางจำได้ทั้งหมดหรอก แต่เราจะต้องจำในรูปแบบเราเองที่ครอบคลุมได้ทั้งหมด อาจจะจำอย่างละนิดหน่อยและนำมาประกอบกัน

ตอนแข่งมีหลายคนบอกว่าดูไม่ตื่นเต้น

ถามว่าแข่งจริงๆ ก็มีตื่นเต้นนะ โดยเฉพาะรอบแรก เพราะเราตั้งเป้าหมายไว้ว่าอย่างน้อยต้องไม่ตกรอบแรก เพราะเพื่อนๆ กดดันเอาไว้ว่าอย่าตกรอบแรกนะ ทุกคนรอดูอยู่ (หัวเราะ) แต่พอผ่านรอบแรกมา เราเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น ซึ่งการจัดการกับความตื่นเต้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ไม่ใช่เฉพาะการแข่งขันเท่านั้นแต่มีความสำคัญสำหรับทุกเรื่อง ทุกสถานการณ์ในชีวิต สิ่งสำคัญคือ เราต้องมีสติและเตรียมพร้อมอยู่เสมอ

วินาทีที่รู้ตัวว่าเป็นผู้ชนะ?

คือ ณ วินาทีที่รู้ตัวว่าเป็นสุดยอดแฟนพันธุ์แท้ มันเหมือนกับเราวิ่งมา 20 ปี วิ่งบนเส้นทางสายลิเวอร์พูล มันเหมือนกับคนวิ่งมาราธอนแล้วเข้าเส้นชัย มันแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เราทำมาทั้งหมดมันไม่ได้สูญเปล่า สิ่งที่ไปนั่งบ้าสมัยเด็กจนถูกผู้ใหญ่หลายคนค่อนขอดว่าไอ้นี่เป็นพวกบ้าบอล แต่วันนี้มันทำให้เห็นแล้วว่ากูบ้าแล้วกูได้ดี กูบ้าแล้วประสบความสำเร็จแล้วนะ คือถ้าเราชอบสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วไม่ได้ทำให้ชีวิตของเราลำบากก็ทำไปเถอะ สักวันหนึ่งผลลัพธ์มันอาจกลับมาหาเราในทางที่ดีเอง

สุดท้าย เชื่อว่าลิเวอร์พูลจะกลับมาผงาดอีกครั้ง?

ฟันธงว่าเมื่อไรคงไม่ได้ แต่เชื่อว่าลิเวอร์พูลจะกลับมาแน่ ปัจจัยที่จะทำให้ลิเวอร์พูลกลับมาได้คือ ทีมจะต้องฟอร์มดีมากๆ แล้วทีมที่ทุ่มเงินเสริมทัพจะต้องฟอร์มตกลงหน่อย แล้ววิธีที่จะทำให้กลับมาคือ 1.จะต้องเสริมทีมอย่างจริงจัง คือซื้อมาแล้วลงเล่นได้เลย 2.จะต้องคว้าแชมป์ถ้วยใดถ้วยหนึ่งได้แล้ว เพราะทีมที่ไม่ได้คว้าแชมป์นานโมเมนตัมมันจะตก มันจะรู้สึกว่าทีมเป็นพวกขี้แพ้ ตอนนี้ลิเวอร์พูลไม่ได้มีแชมป์มา 4 ปีแล้ว ถ้ามีแชมป์มันจะมีแรงผลักดันให้ปีหน้าอยากได้แชมป์มากขึ้นไปอีก

กลับมาเมื่อไรไม่รู้ แต่กลับมาแน่ๆ ฟุตบอลมันมีวัฏจักรของมันอยู่ (ยิ้ม)

DSC_0214_1500x2265 (1)

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image