สกู๊ปหน้า 1 : ‘จุรินทร์’ โชว์ฝ่าวิกฤตศก. พณ.เชื่อมไทย-เชื่อมโลก

สกู๊ปหน้า 1 : ‘จุรินทร์’ โชว์ฝ่าวิกฤตศก. พณ.เชื่อมไทย-เชื่อมโลก

ระหว่างวันที่ 20-21 พฤศจิกายน มีการจัดงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 39 หัวข้อ “Connect the Dots DESIGN THE FUTURE รวมพลัง สร้างสรรค์ อนาคต” ณ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กรุงเทพมหานคร

งานนี้ได้มือเศรษฐกิจคนสำคัญอย่าง จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมปาฐกถาพิเศษ เรื่อง Connect ธุรกิจไทย พาณิชย์ยุคใหม่เชื่อมไทยเชื่อมโลก

“จุรินทร์” ให้ข้อมูลว่า คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนด้านการพาณิชย์หรือ กรอ.พาณิชย์ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ภาคเอกชนนำปัญหาที่แก้ด้วยตนเองไม่ได้ ส่งต่อกระทรวงพาณิชย์และภาครัฐช่วยดูแล ทำให้ที่ผ่านมาแก้ไขปัญหาได้จำนวนมาก ตอนนี้คิดว่ามาถึงจุดที่โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย แต่ยังนิ่งนอนใจไม่ได้ ยังต้องจับมือกันคิดร่วมกันอย่างใกล้ชิดทั้งภาครัฐเอกชน

“เราต้องนำเศรษฐกิจฝ่าวิกฤตโควิดไปให้ได้ไม่ใช่รอให้โควิดเป็นศูนย์แล้วเริ่มนับหนึ่ง เชื่อว่าพวกเราทำได้เพราะประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมาไม่ฝากชะตาไว้กับเศรษฐกิจเชิงเดี่ยว การท่องเที่ยวอย่างเดียวเท่านั้น เมื่อไม่มีการท่องเที่ยวจากต่างประเทศแต่เศรษฐกิจก็ขับเคลื่อนได้ เพราะยังมีการเกษตร อุตสาหกรรมการเกษตร อุตสาหกรรมการส่งออกเป็นฐานแต่มีบางพื้นที่ที่ฝากเศรษฐกิจกับบางสาขามาก จนขาดความสมดุล อย่างภาคท่องเที่ยวอย่างเดียวพอไม่มีการท่องเที่ยว อาทิ พัทยา ภูเก็ต ต้องกลับมาคิดเรื่องนี้อย่างจริงจังในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจผสมผสานต่อไป”

Advertisement

สำหรับเรื่องที่กระทรวงพาณิชย์ให้ความสำคัญและขับเคลื่อน คือ ด้านการประกันรายได้เกษตร ซึ่งช่วยเกษตรกรอย่างน้อย 8 ล้านครัวเรือนเชื่อมการผลิต แปรรูปและการส่งออก เพื่อบรรลุเป้าหมายเชื่อมไทยเชื่อมโลก และไม่ได้ทำให้เกษตรกรอ่อนแอแต่ทำให้มีหลักประกันในเรื่องของการผลิตพืชผลทางการเกษตร ที่สำคัญประกันรายได้ไม่เหมือนนโยบายอื่นที่ล้มเหลวมีการทุจริตคอร์รัปชั่น เพราะไม่ใช่การแทรกแซงราคาในตลาด แต่มีเงินส่วนต่างเติมให้เกษตรกรให้ยังชีพอยู่ได้ก้อนหนึ่งเท่านั้น

ด้านการเร่งรัดการส่งออก จะเป็นหัวใจสำคัญ 2 ปีที่ผ่านมาได้รับความร่วมมือดีมาก จับมือแก้ปัญหาเดินหน้าฝ่าวิกฤตโควิดไปด้วยกัน 9 เดือนแรกขยาย 15.5% จากตั้งไว้เพียง 4% นำเงินเข้าประเทศรวมกัน 6.2 ล้านล้านบาท และเดือนตุลาคม คาดว่า ขยายไม่น้อยกว่า 15% ซึ่งทำให้ทั้งปีคาดว่าจะได้เห็นตัวเลขบวก 2 หลักแน่นอน ที่สำคัญเรามีตลาดใหม่เกิดขึ้น อาทิ อินเดียตะวันออกกลาง รัสเซีย ละตินอเมริกา หรือกลุ่มประเทศอื่นๆ เพราะการทำงานมีความเข้มแข็งโดยเฉพาะทีมเซลส์แมนประเทศ และเดินหน้าตลาดใหม่ช่วยกันต่อไปนอกจากรักษาตลาดเดิม ที่สำคัญตลาดเก่าที่สูญเสียไปต้องเอากลับคืน เช่น ตลาดข้าวอิรัก ในช่วงจำนำข้าวส่งข้าวไม่ได้คุณภาพ ทำให้อิรักไม่รับซื้อข้าวเรา

ด้านการค้าชายแดน ที่ผ่านมา 9 เดือนแรกนั้นบวก 38% ถือว่าน่าพอใจ ทำรายได้เข้าประเทศ 7.78 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญช่วยคนตัวเล็ก ภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี)และไมโคร เอสเอ็มอีสามารถค้าขายกับประเทศเพื่อนบ้านได้ โดยไทยมี 97 ด่านทั่วประเทศ เปิดแล้ว46 ด่าน และล่าสุดเมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา เปิดอีก2 ด่าน คือด่านตากใบกับบูเก๊ะตา จังหวัดนราธิวาสจะช่วยให้การส่งออกไปมาเลเซียดีขึ้นต่อไปในอนาคต เหลือด่านท่าเส้น จังหวัดตราด บ้านหนองเอี่ยน จังหวัดสระแก้ว ด่านปากแซงที่จังหวัดอุบลฯ ซึ่งกำลังเจรจาถึงขั้นขอเปิดด่านแล้ว และช่วยจัดการบริหารงบทำทางลาดไปต่อจากถนน ลงท่าเรือขนของข้ามแม่น้ำโขง

Advertisement

การควบคุมราคาสินค้า โดย 10 เดือนที่ผ่านมาเงินเฟ้อ บวก 1% หมายความว่าปกติยังมีเสถียรภาพ ซึ่งปี 2564 คาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะอยู่ที่ บวก 0.8-1.2% และปีหน้าคาดการณ์ว่าจะบวก 0.7-1.2% กระทรวงพาณิชย์จะมาดูว่าจะกระทบต่อราคาสินค้าของผู้อุปโภคบริโภค ในแต่ละรายการสินค้า ยึดถือหลักสมดุล ดูแลทุกฝ่ายทั้งต้นน้ำ กลางน้ำถึงปลายน้ำ และติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจและการค้าโลกใกล้ชิดยิ่งขึ้น โดยเชื่อว่าสงครามการค้ายังคงยืดเยื้อต่อไป แม้ที่ผ่านมาจีนกับสหรัฐอเมริกาจะเจรจาเรื่องราคาน้ำมันแล้ว แต่ยังต้องติดตามต่อไป ว่าจะส่งผลกระทบต่อโลกต่อไทยอย่างไร

สงครามการค้านี้เกิดจากการนำการเมืองระหว่างประเทศเข้ามาเกี่ยวพันกับเศรษฐกิจการค้า ทำให้เกิดการแบ่งฝ่าย สุดท้ายนำไปสู่การหาพวกทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ การค้า ดังนั้นประเทศไทยต้องกำหนดท่าทีให้ดีว่าจะยืนอยู่อย่างสมดุลอย่างไร และต้องไม่ยืนอย่างโดดเดี่ยวต้องจับมือใกล้ชิดกับพันธมิตร อย่างน้อยในกลุ่มประเทศอาเซียน

โดยในวันที่ 22 พฤศจิกายน จะมีการประชุมอาเซียน-จีน ครบรอบความสัมพันธ์ 30 ปี คาดว่ามีสัญญาณบวก ว่าข้อสรุปร่วมกันของกลุ่มอาเซียนว่าจะพยายามผลักดันให้จีนเข้าไปมีบทบาทเชิงยุทธศาสตร์สร้างสรรค์ มุ่งเน้นความส่งเสริมการยับยั้งชั่งใจและการแก้ไขปัญหาข้อพิพาททะเลจีนใต้โดยสันติ และฝั่งจีนคาดว่าจะส่งเสริมกับการพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาค เอฟทีเอและการฟื้นฟูการเดินทางกับกลุ่มประเทศอาเซียนเป็นลำดับแรก โอกาสได้นักท่องเที่ยวจากจีนมาอาเซียน รวมถึงจะนำเทคโนโลยีนวัตกรรมมาช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันกับกลุ่มประเทศอาเซียนต่อไป

และสุดท้ายเร่งติดตามกติกา ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค หรืออาร์เซ็ป คาดว่าต้นปีหน้าจะบังคับใช้ เพราะให้สัตยาบันครบตามเงื่อนไขแล้ว และการประชุมองค์การการค้าโลก หรือ WTO ที่จะมาถึงในเดือนธันวาคม ได้เคยเสนอเรื่องอีคอมเมิร์ซในการประชุม อาร์เซ็ปไปแล้วครั้งหนึ่ง ว่าข้อตกลงกติกาเรื่องอีคอมเมิร์ซจะต้องเน้น เรื่องความโปร่งใส ต้องเป็นธรรมทั้งประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา และต้องคุ้มครองผู้บริโภคไม่ให้ผู้บริโภคเป็นเหยื่อของอีคอมเมิร์ซ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image