รายงานหน้า2 : ท็อปเท็นข่าวดังปี’64

⦁‘3ป.’ร้าว-ปลด‘ธรรมนัส-นฤมล’

เปิดศึกซักฟอกในการอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลอีก 5 คน รวม 6 คน
ในกรอบ 4 วัน คือวันที่ 31 สิงหาคม-3 กันยายน และลงมติในวันที่ 4 กันยายน 2564
โดย พล.อ.ประยุทธ์ได้คะแนนไว้วางใจ 264 ไม่ไว้วางใจ 208 งดออกเสียง 3 ไม่ลงคะแนน 0
ซึ่งเป็นคะแนนไว้วางใจ “รองบ๊วย” ต่อจาก “สุชาติ ชมกลิ่น” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่ได้คะแนนไว้วางใจน้อยสุด 263 คะแนน
อีกทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ได้คะแนนไม่ไว้วางในมากสุดถึง 208 คะแนน
ว่ากันว่าเบื้องลึกเกิดจากศึกภายในพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่ขับเคลื่อนโดย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค พปชร. และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯในขณะนั้น ที่มีข่าวจะคว่ำนายกฯกลางสภา
จนเป็นที่มาของการปลดฟ้าผ่า ร.อ.ธรรมนัส ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ พ่วงด้วย “นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” ต้องพ้นจากตำแหน่งรัฐมตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน
ท่ามกลางกระแส “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร. ถึงกับเคือง “บิ๊กตู่” ที่ปลด ร.อ.ธรรมนัสและนางนฤมล
กลายเป็นรอยร้าวระหว่าง “3ป.”!

⦁รื้อรธน.แค่บัตร2ใบ-คว่ำฉบับปชช.

การประชุมร่วมของรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่มีขึ้นในวันที่ 23-24 มิถุนายน มีร่างรัฐธรรมนูญพิจารณาถึง 13 ร่าง ในขั้นรับหลักการวาระที่ 1
แต่ในท้ายที่สุดรัฐสภาตีตกร่างรัฐธรรมนูญ 12 ร่าง และรับไว้เพียงร่างเดียว คือร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 83, 91 (แก้ระบบเลือกตั้ง ส.ส. ใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ) เสนอโดย “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กับคณะ ซึ่งถูกบรรจุเป็นร่างที่ 13 ที่ได้รับความเห็นชอบด้วยคะแนนเสียง 552 ไม่เห็นชอบ 24 งดออกเสียง 130 และไม่ลงคะแนนเสียง 27
จนนำไปสู่การแก้ไขกฎหมายลูก 2 ฉบับ ทั้งร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ที่กำลังจะมีการพิจารณาทั้งร่างของรัฐบาล ร่างของ ส.ส.รัฐบาล ร่างของ ส.ส.พรรคเพื่อไทย และร่างของ ส.ส.พรรคก้าวไกล ซึ่งคาดว่าจะเข้าสู่สภาในช่วงกลางเดือนมการคมปี 2565 และขั้นตอนทั้งหมดจะแล้วเสร็จช่วงเดือนกรกฎาคม 2565
นอกจากนี้เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาลงมติไม่รับหลักการร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ …) พ.ศ. … ที่เสนอโดยกลุ่มรี-โซลูชั่นที่มีประชาชนร่วมลงชื่อนับแสนชื่อ
นับเป็นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่ 2 ของภาคประชาชน ที่ถูก “โหวตคว่ำ” ตั้งแต่วาระแรก!?

Advertisement

⦁พท.ปรับทัพ-พปชร.ยังยื้อ

ปรับทัพพรรคเพื่อไทย ภายหลังจาก “สมพงษ์ อมรวิวัฒน์” ประกาศลาออกจากหัวหน้าพรรค ทำให้กรรมการบริหารพรรคสิ้นสภาพไปด้วย เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม
จึงต้องเลือกหัวหน้าพรรคใหม่ โดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคชนิดไร้คู่แข่ง
จากนั้น นพ.ชลน่าน เสนอชื่อกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ 23 คน
แต่ไฮไลต์สำคัญคือการเปิดตัว น.ส.แพทองธาร ชินวัตร (อุ๊งอิ๊ง) ลูกสาวคนเล็กของ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี มารับตำแหน่งประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรมพรรคเพื่อไทยด้วย
ถือเป็นการเปิดตัวสายตรงทักษิณ เข้ามาทำหน้าที่บริหารพรรค และเตรียมสู้ศึกเลือกตั้งในครั้งต่อไป
ในขณะที่ การเขย่าเก้าอี้ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐไม่สำเร็จ การปรับทัพใหม่ของพรรคยังคงเป็น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ทำหน้าที่หัวหน้าพรรค และ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ยังเหนียวนั่งเก้าอี้เลขาธิการพรรค โดย “นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” รั้งเหรัญญิกพรรคไว้เหนียวแน่น
และเสริมทัพด้วย พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา คนสนิท “บิ๊กป้อม” เข้ามาเป็นประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ ตั้ง “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แกนนำกลุ่มสามมิตร มุ้งใหญ่ในพรรค เป็นที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคอีกตำแหน่ง
และตั้ง “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” ที่ปรึกษานายกฯ เป็นที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคอีกคน!?

⦁ประหาร‘บรรยิน’ฆ่า‘ชูวงษ์’

Advertisement

ศาลอาญาพระโขนง อ่านคำพิพากษา คดีที่นางศิริรัตน์ แซ่ตั๊ง ภรรยาของนายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง นักธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและพนักงานอัยการ ร่วมเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีต รมช.พาณิชย์ และอดีต ส.ส.นครสวรรค์ เป็นจำเลย
ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ร่วมกันฆ่าผู้อื่นเพื่อจะเอาหรือเอาไว้ซึ่งประโยชน์อันเกิดแต่การที่ตนได้กระทำความผิดอื่น เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน หรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้
กรณีเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2558 นายชูวงษ์ วัย 50 ปี เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์หรูยี่ห้อเลกซัส สีดำ ชนต้นไม้ มี พ.ต.ท.บรรยิน จำเลย เป็นคนขับ มีนายชูวงษ์นั่งข้างๆ ริมถนนเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ระหว่างซอย 48 กับซอย 50 เขตประเวศ กทม. เป็นเหตุให้นายชูวงษ์ถึงแก่ความตาย พ.ต.ท.บรรยิน ให้การปฏิเสธอ้างเป็นอุบัติเหตุ
โดยศาลพิจารณาถึงพฤติการณ์ ข้อเท็จจริง และพยานหลักฐานโดยละเอียด ที่มีทั้งกล้องวงจรปิด พยานผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์ และพยานแวดล้อม ที่พิสูจน์ได้ว่า นายชูวงษ์ไม่ได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ
แต่ถูกจำเลยร่วมกับผู้อื่นฆ่าตาย และจำเลยไม่มีความสำนึก ไม่มีเหตุปรานี พิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 ให้ประหารชีวิต พ.ต.ท.บรรยิน สถานเดียว
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2563 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางก็ได้พิพากษาประหารชีวิต พ.ต.ท.บรรยิน ในคดีอุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษาอดีตเจ้าของสำนวนโอนหุ้นนายชูวงษ์ แต่ให้การเป็นประโยชน์ลดโทษ 1 ใน 3 ทุกข้อหาคงจำคุกตลอดชีวิตสถานเดียว

⦁ฟ้อง‘โจ้ถุงดำ-พวก’ข้อหาหนัก

อัยการสูงสุดได้สั่งฟ้องคดีวิสามัญฆาตกรรม โดยยื่นฟ้อง พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือโจ้ อดีต ผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์ กับพวกรวม 7 คน คดีร่วมกันใช้ถุงดำคลุมศีรษะจิระพงศ์ ธนะพัฒน์ หรือมาวิน ผู้ต้องหาคดียาเสพติด เสียชีวิตภายในโรงพัก เป็นจำเลยต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตฯ, ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยทรมาน หรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย และร่วมกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใดโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้นหรือจำยอมต่อสิ่งนั้น
ซึ่งเป็นการสั่งฟ้องครบทุกข้อหาที่พนักงานสอบสวนทำสำนวนเสนอมา พร้อมยื่นคัดค้านการปล่อยชั่วคราวจำเลยทั้งหมด เนื่องจากเป็นคดีร้ายแรง โทษสูงสุดคือประหารชีวิต หากปล่อยชั่วคราวเกรงว่าพวกจำเลยจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานในคดี
โดย “โจ้” รับสารภาพ ในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157 เเต่ให้การปฏิเสธในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย โดยแถลงต่อศาลว่าไม่มีเจตนาฆ่าผู้ตาย
แต่ต้องการขยายผลการจับกุมยาเสพติด ที่เป็นต้นเหตุของปัญหาสังคม
ปัจจุบันคดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลโดยไม่มีจำเลยคนใดได้ประกันตัว!?!

⦁ดาราคอลเอาต์โควิด-19

โควิด-19 ก็ยังเพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในปีนี้ ซึ่งนอกจากจะไต่ระดับมาระลอก 4 แล้ว ก็ยังทำให้เกิดปรากฏการณ์เหล่าศิลปิน ดารา และคนดังในโลกโซเชียล ออกมาแสดงความคิดเห็นในเรื่องเหตุบ้านการเมืองกันอย่างกว้างขว้างในสื่อออนไลน์ เริ่มตั้งแต่การเรียกร้องให้บุคลากรทางการแพทย์และคนไทยได้รับวัคซีนที่ดีที่สุด จนถึงการวิพากษ์การทำงาน การรับมือกับวิกฤตโควิด-19 ของรัฐบาลที่หลายคนมองว่าไม่มีประสิทธิภาพอย่างที่ควรจะเป็น
ซึ่งมีดารา-คนดังที่ออกมาเป็นกระบอกเสียงให้ประชาชนไม่น้อย จนกระทั่งเกิดการเรียกร้องให้สอบสวนเหล่าการออกมาคอลเอาต์เรื่องสถานการณ์โควิด ว่าเป็นการให้ข้อมูลที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง เข้าข่ายกระทำผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์, พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และ พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ หรือไม่
โดยมี น.ส.ดนุภา คณาธีรกุล หรือมิลลิ นักร้อง
แร็พเปอร์ วัย 19 ปี ที่ออกมาคอลเอาต์อยู่ตลอดนั้น ก็ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาในข้อหาดูหมิ่นด้วยการโฆษณา หลังจากแสดงความเห็นเกี่ยวกับการบริหารงานของรัฐบาลผ่านบัญชีใช้งานสาธารณะทวิตเตอร์ โดยมีทนายความที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เป็นผู้แต่งตั้ง เป็นผู้เข้าแจ้งความ ทั้งนี้ มิลลิ ก็ได้เดินทางเข้าไปรับทราบข้อกล่าวหาและมีการเสียค่าปรับเป็นจำนวนเงิน 2,000 บาท ซึ่งในโลกออนไลน์ก็ได้มีการพูดถึงเรื่องนี้เป็นกว้าง และผุด แฮชแท็ก #saveมิลลิ ขึ้นมาเพื่อซัพพอร์ตนักร้องสาว

⦁ปรากฏการณ์‘ลิซ่า BLACKPINK’

กระแสความฮอตจากมิวสิกวิดีโอของ ลิซ่า BLACKPINK หรือลลิษา มโนบาล สาวไทยหนึ่งในสมาชิกเกิร์ลกรุ๊ปชื่อดังจากประเทศเกาหลี ที่ออกอัลบั้มเดี่ยวของตัวเองเป็นครั้งแรก โดยได้เปิดตัวด้วยซิงเกิล “LALISA” ที่สะท้อนตัวตนของเธอได้เป็นอย่างดีในทุกแง่มุม จนทำยอดวิวพุ่งทะยานเป็นอันดับ 1 ของโลก และติดชาร์ตเพลงฮิตในหลายประเทศ แต่ที่แฟนเพลงชาวไทยปลื้มสุดๆ คือการไม่ลืมความเป็นไทยสอดแทรกเข้าไปทั้งในเนื้อเพลง รวมถึงมิวสิกวิดีโอที่ลิซ่าได้ใส่ชุดไทยและสวมรัดเกล้า จนทำให้แหล่งขายเสื้อผ้าและเครื่องประดับนั้นกลับมาคึกคักอีกครั้งหลังจากที่ก่อนหน้าได้ซบเซาไปในช่วงโควิดแบบนี้
กระนั้นก็ไม่วายจะมีดราม่าตามมาถึงความเหมาะสมที่นำรัดเกล้า หรือบางคนก็มองไปว่าเป็น ชฎา มาใส่ในเพลง แต่ความดังของเพลงที่ไปไกลทั่วโลกหน่วยงานต่างๆ ของกระทรวงวัฒนธรรมก็พากันออกมาชื่นชมว่าเป็นตัวอย่างที่ดีในการนำวัฒนธรรมมาต่อยอดด้วยความคิดสร้างสรรค์ให้เป็นที่รู้จักและได้รับการเผยแพร่สู่ระดับโลก หรือแม้แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็ยังกล่าวชื่นชมลิซ่า ในฐานะเยาวชนไทยที่มีชื่อเสียงระดับโลกแต่ยังไม่ลืมวัฒนธรรมไทย พร้อมย้ำรัฐบาลพร้อมสนับสนุนเยาวชน คนไทยที่มีความสามารถเต็มที่

⦁ปริศนาปลด3เจ้าคณะจว.

ปมปัญหามติมหาเถรสมาคม (มส.) ถอดถอนพระสังฆาธิการ 3 รูปออกจากตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัด ได้แก่ 1.พระราชปริยัติสุนทร วัดโสธรวรารามวรวิหาร จ.ฉะเชิงเทรา ถอดถอนจากเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา 2.พระธรรมรัตนาภรณ์ วัดเขียนเขต จ.ปทุมธานี ถอดถอนจากเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี และ 3.พระเทพสารเมธี วัดประชานิยม จ.กาฬสินธุ์ ถอดถอนจากเจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์
โดยนายสิทธา มูลหงษ์ โฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนา (พศ.) ชี้แจงแถลงผลการประชุม มส.ว่า ที่ประชุม มส.ไม่ได้พิจารณากรณี มส.มีมติเมื่อวันที่ 30 กันยายน ให้พระสังฆาธิการ 3 รูปออกจากตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัด โดยไม่มีการนำเรื่องดังกล่าวเข้าหารือในที่ประชุม
แต่ พศ.ในฐานะเป็นหน่วยงานสนองงานของคณะสงฆ์และรัฐ ทำหน้าที่ฝ่ายธุรการของ มส.ขอชี้แจงกรณีดังกล่าว ดังนี้ การดำเนินการแต่งตั้งเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ส่วนมูลเหตุการถอดถอนนั้นไม่สามารถตอบได้ เป็นหน้าที่ของเจ้าคณะหน ซึ่งถือเป็นเจ้าคณะผู้ปกครองจะตอบคำถาม และชี้แจงให้กับผู้ที่ถูกปลดได้เป็นการส่วนตัว
จึงกลายเป็นปมปริศนาจนถึงวันนี้!?

⦁พิษไหม้รง.หมิงตี้กระทบอื้อ

เหตุการณ์ใหญ่อีกเหตุการณ์ในรอบปีที่ผ่านมา ที่สร้างความตื่นตระหนกและสร้างเสียหาย เป็นที่จดจำของหลายคน ในช่วงเช้ามืดวันที่ 5 กรกฎาคม
เกิดระเบิดและเพลิงไหม้โรงงานขนาดใหญ่ บริษัท หมิงตี้เคมีคอล จำกัด ภายในซอยกิ่งแก้ว 21 ต.ราชาเทวะ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ซึ่งเป็นโรงงานผลิตเม็ดโฟม เม็ดพลาสติก
กลุ่มควันไฟพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า มองเห็นได้ในระยะไกล แรงระเบิดสร้างความเสียหายมหาศาลต่อโรงงาน และบ้านเรือนประชาชนใกล้โรงงาน 70 หลัง รถยนต์นับสิบคัน และประชาชนที่พักอาศัยใกล้เคียงบาดเจ็บกว่า 20 คน
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องระดมเจ้าหน้าที่เข้าดับไฟที่โหมไหม้รุนแรง รวมทั้งอพยพประชาชนออกจากรัศมี 5 กิโลเมตร เพื่อป้องกันอันตรายหากไฟลามติดติดถังสารเคมี 20,000 ลิตรที่ยังอยู่ในโรงงาน สุดท้ายชุดปฏิบัติใช้โดรนบินเข้าไปชี้จุดให้เจ้าหน้าที่เข้าไปปิดวาล์วถังเคมี 20,000 ลิตรไว้ได้อย่างปลอดภัย และดับเพลิงได้สำเร็จในช่วงเย็นของวันถัดมา
ก่อนจังหวัดสมุทรปราการจะสรุปผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชน 80,916 คน 56,291 ครัวเรือน บาดเจ็บ 43 ราย รักษาตัวในโรงพยาบาล 9 ราย และอาสาสมัครบรรเทาสาธารณภัยเสียชีวิตจากไฟคลอก 1 ราย
มีประชาชน 183 รายไปร้องทุกข์ที่ สภ.บางแก้ว ให้บริษัทชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่ง ซึ่ง “สุทธิพล ทวีชัยการ” เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ออกมายืนยันว่า หมิงตี้ฯทำประกันโรงงานวงเงิน 420.90 ล้านบาท จะแจกจ่ายชดเชยเยียวยาให้ผู้ได้รับผลกระทบต่อไป

⦁สารพัดม็อบ-ปีหน้าสู้ต่อ

แม้ถูกมองว่า “แผ่ว” มาตั้งแต่ปลายปี 63 ทว่าเมื่อเข้าสู่ศักราช 64 ก็มีการชุมนุมอย่างต่อเนื่อง ทั้งในนาม “ราษฎร” ที่เดินหน้า 3 ข้อเรียกร้อง และกลุ่มย่อยๆ ต่างๆ ในหลากปัญหาท่ามกลางโควิดหลายระลอก
นอกจากนี้ ยังเป็นปีที่ม็อบซึ่งมีชื่อขึ้นต้นด้วยแฮชแท็ก#save ปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ “ภาคีเซฟบางกลอย” “เซฟจะนะ” ก่อนปิดท้ายปีที่ “เซฟนาบอน”
อีกปรากฏการณ์คือการเกิดขึ้นของกลุ่ม “ทะลุแก๊ซ” ณ สมรภูมิดินแดง นอกจากนี้ ยังมี “คาร์ม็อบ” และ “ไบก์ม็อบ” กลุ่ม “ไทยไม่ทน”
“ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน” เปิดเผยว่า ตั้งแต่ 18 กรกฎาคม 2563 -25 ธันวาคม 2564 มีผู้ถูกดำเนินคดีจากการแสดงออกทางการเมืองไม่น้อยกว่า 1,747 ราย
ในปีนี้ ยังเกิดความสูญเสียกรณี “วาฤทธิ์” เยาวชนที่เสียชีวิตจาก “กระสุนปริศนา” หน้า สน.ดินแดง อีกทั้งการสูญเสียดวงตาข้างขวาของ ลูกนัท-ธนัตถ์ ธนากิจอำนวย ผู้เปลี่ยนฝั่งมาสู่ฟากประชาธิปไตยต้องประสบ
ช่วงปลายปี 4 แกนนำ พริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน, จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน, ภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ ระยอง, และอานนท์ นำภา ถูกตีตกคำร้องขอสิทธิประกันตัว นำมาซึ่งถ้อยแถลง ‘ขอไม่ยื่นประกันตัวอีกต่อไป’
แม้สัญญาณ “อ่อนล้า” ปรากฏชัด แต่ในการชุมนุมสำคัญในช่วงท้ายปี มีการประกาศหลายครั้งจากหลายบุคคล นั่นคือ “สู้ต่อ”
ครูใหญ่-อรรถพล บัวพัฒน์ แย้มนัดม็อบอีกกลางเดือนมกราคม 2565 จากที่ราบสูงสู่ลุ่มเจ้าพระยา
ขณะที่ “บอย ธัชพงศ์ แกดำ” ยืนยันเคลื่อนไหวแบบไร้ข้อจำกัด ประกาศ “ต่อจากนี้เป็นเกมของทุกคน”!?

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image