ไม่ว่าจะเป็นการยื่นใบลาออก จากพรรคพลังประชารัฐของ พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ไม่ว่าจะเป็นการประชุมพรรคพลังประชารัฐของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
นั่นคือ การขยับและขับเคลื่อน ยืนยันถึงการดำรงอยู่ของพรรคพลังประชารัฐ และยืนยันการเริ่มต้นของพรรคเศรษฐกิจไทย
ไม่ว่าจะเป็นการพลิกฟื้นพรรครวมไทยสร้างชาติที่ตระเตรียมเอาไว้ตั้งแต่ปี 2564 พร้อมกับมอบหมายให้ระดับกรรมการผู้ช่วยนายกรัฐมนตรีออกไปดำเนินการ
นั่นคือ การขยับและขับเคลื่อนไม่เพียงแต่ยืนยันการไม่เข้าไปรุกภายในพรรคพลังประชารัฐ หากแต่ยังแสดงความพร้อมในการจัดแถวขบวนทัพใหม่ในทางการเมือง
ขณะเดียวกัน ก็เริ่มมีการส่ง “สัญญาณ” จากพรรคเศรษฐกิจไทยเด่นชัดขึ้นว่าเป้าหมายอยู่ที่ใดในการร่วมอยู่ในรัฐบาล
สัญญาณจากพรรคเศรษฐกิจไทยก็อยู่ในลักษณาการเดียวกัน กับที่พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาธิปัตย์เคยส่งมาแล้ว
ไม่ว่าในเรื่อง “งบกลาง” ไม่ว่าในเรื่อง “กัญชาเสรี”
แต่ละจังหวะก้าวในทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการขยับจากภายในทำเนียบรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ว่าจะเป็นการขยับจากภายในพรรคพลังประชารัฐของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
เด่นชัดอย่างยิ่งว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นดำรงอยู่ และดำเนินไปยังมิใช่ความขัดแย้งที่พัฒนาเข้าสู่ขั้น “แตกหัก”
ท่วงทำนองจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ท่วงทำนองจาก พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา จึงยังเป็นท่วงทำนองที่ต้องการเจรจา ต่อรอง และสร้างความตกลง “ร่วม”
อย่างน้อยตำแหน่งรัฐมนตรีที่ว่างอยู่ 2 ตำแหน่ง ภายหลังการปลดก็ยังเป็นโควต้าของพรรคพลังประชารัฐ
ในอีกด้านหนึ่งนี่ย่อมเท่ากับเป็นการเสนอ “ทางออก” ให้
เด่นชัดยิ่งว่าไม่ว่าจะมองจากด้านทำเนียบรัฐบาล ไม่ว่าจะมองจากด้านพรรคพลังประชารัฐ ไม่ว่าจากด้านพรรคเศรษฐกิจไทยก็ตาม
ความสัมพันธ์ยังอยู่ในสถานะแห่ง “พรรคร่วมรัฐบาล”
การต่อรองที่เกิดขึ้นยังเป็นระนาบเดียวกับที่พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยพัฒนา กระทำ
หนทาง “เฉพาะหน้า” ยังมิใช่หนทางเพื่อนำไปสู่ “ยุบสภา”